อบรมออนไลน์ฟรี หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สู่ ฐานสมรรถนะ วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 รับเกียรติบัตรฟรี โดยสถาบันพัฒนาครู สคบศ. 2

สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินขอเชิญชวน อบรมออนไลน์รับเกียรติบัตร หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สู่ ฐานสมรรถนะ อบรม วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.00 – 16.00 น. รับเกียรติบัตรฟรี โดย สถาบันพัฒนาครู สคบศ. ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

อบรมออนไลน์รับเกียรติบัตร

หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สู่ ฐานสมรรถนะ อบรม วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.00 – 16.00 น. รับเกียรติบัตรฟรี โดยสถาบันพัฒนาครู สคบศ.

พลิกโฉมการศึกษาไทย การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ สร้างคนคุณภาพแห่งอนาคต

การเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 กำลังขับเคลื่อนทุกวงการให้ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่วงการการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในแวดวงนักการศึกษาและผู้กำหนดนโยบายคือ ระบบการศึกษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถสร้างคนที่พร้อมรับมือกับความท้าทายอันซับซ้อนและคาดเดาได้ยากในอนาคตได้จริงหรือ จากเดิมที่ระบบการศึกษามุ่งเน้นการส่งมอบเนื้อหาความรู้ (Content-Based) ให้ผู้เรียนท่องจำเพื่อนำไปสอบวัดผลในกระดาษคำตอบ ได้พิสูจน์แล้วว่าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป นี่คือจุดกำเนิดของการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญ สู่สิ่งที่เรียกว่า หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อหรือปรับเปลี่ยนตำราเรียน แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการมองเป้าหมายของการศึกษาทั้งหมด จากที่เคยถามว่า “เด็กต้องรู้อะไรบ้าง” ไปสู่คำถามที่ทรงพลังกว่าว่า “เด็กต้องทำอะไรได้บ้าง” เพื่อให้ใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ

การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของหลักสูตรฐานสมรรถนะจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นครูผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน ไปจนถึงผู้ปกครอง เพราะนี่คือทิศทางอนาคตของการศึกษาไทยที่จะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของพลเมืองและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกในทุกมิติว่าการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะคืออะไร แตกต่างจากเดิมอย่างไร และจะเปลี่ยนแปลงห้องเรียนรวมถึงอนาคตของผู้เรียนไปตลอดกาลได้อย่างไร

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า สมรรถนะ (Competency) นั้นมีความหมายกว้างและลึกกว่าคำว่า “ความรู้” หรือ “ทักษะ” เพียงอย่างเดียว ในหลักสูตรแบบเดิม เราอาจวัดผลว่านักเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัยหรือไม่ ผ่านการสอบที่ถามว่าใครคือพระมหากษัตริย์องค์แรก หรือศิลาจารึกถูกค้นพบเมื่อใด แต่นั่นเป็นเพียงการวัดความจำ แต่ในหลักสูตรฐานสมรรถนะ เป้าหมายจะเปลี่ยนไปเป็นการวัดว่านักเรียนสามารถนำความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้นมา ประยุกต์ใช้ ได้หรือไม่ เช่น นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้สุโขทัยรุ่งเรืองและเสื่อมอำนาจ แล้วนำบทเรียนนั้นมาอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของชุมชนตนเองได้หรือไม่ จะเห็นได้ว่า สมรรถนะคือการบูรณาการของสามสิ่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ ความรู้ (Knowledge) ที่ต้องแม่นยำและถูกต้อง ทักษะ (Skills) ทั้งทักษะการคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น และ คุณลักษณะและเจตคติ (Attributes & Attitudes) เช่น ความใฝ่รู้ ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น การเคารพความแตกต่าง เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนี้หลอมรวมกันและแสดงออกผ่านการลงมือปฏิบัติจริง จึงจะเรียกว่า “เกิดสมรรถนะ” ขึ้นแล้ว

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่างหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-Based Curriculum) ที่เราคุ้นเคย กับหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) คือเป้าหมายปลายทางของการจัดการศึกษา หลักสูตรแบบเดิมมีเป้าหมายคือการเรียนให้ “จบ” เนื้อหาตามที่กำหนดไว้ในแต่ละชั้นปี เด็กทุกคนเรียนเนื้อหาเดียวกันในเวลาเท่ากัน ใครตามไม่ทันอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่หลักสูตรฐานสมรรถนะมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนทุกคน “บรรลุ” สมรรถนะที่กำหนดไว้ โดยมีความยืดหยุ่นด้านเวลาและวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปตามศักยภาพของแต่ละบุคคล เปรียบเสมือนการเรียนขับรถ เป้าหมายไม่ใช่การนั่งฟังเล็กเชอร์เรื่องกฎจราจรจนครบชั่วโมง แต่เป้าหมายคือต้อง “ขับรถให้เป็นและปลอดภัย” บนถนนจริงให้ได้ นักเรียนบางคนอาจเรียนรู้ได้เร็ว ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนมากกว่า แต่สุดท้ายทุกคนจะไปถึงเป้าหมายเดียวกันคือความสามารถในการขับรถนั่นเอง

สำหรับประเทศไทย ได้มีการกำหนด สมรรถนะหลัก 6 ด้าน ที่ต้องการพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนทุกคน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ ประกอบด้วย

การจัดการตนเอง (Self-Management) คือความสามารถในการดูแลสุขภาพกายใจของตนเองให้ดี ตั้งเป้าหมายในชีวิตได้ รู้จักการวางแผนและบริหารจัดการเวลาและทรัพยากร มีวินัยในตนเอง สามารถควบคุมอารมณ์และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดี เด็กที่มีสมรรถนะนี้จะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต มีความมุ่งมั่นพากเพียรแม้เจอกับอุปสรรค

การคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ไม่ใช่แค่การคิดแบบผิวเผิน แต่คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล ประเมินความน่าเชื่อถือ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดเชิงระบบ คิดสร้างสรรค์ และสามารถนำกระบวนการคิดเหล่านี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในชีวิตจริงได้ ในห้องเรียนฐานสมรรถนะ ครูจะไม่ได้บอกคำตอบ แต่จะตั้งคำถามที่ท้าทายให้นักเรียนได้สืบเสาะหาคำตอบด้วยกระบวนการคิดของตนเอง

การสื่อสาร (Communication) ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความสามารถในการรับสารและส่งสารอย่างมีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญ สมรรถนะด้านนี้ครอบคลุมทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน การใช้ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ไปจนถึงการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ สามารถเจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง และนำเสนอความคิดของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจน

การรวมพลังทำงานเป็นทีม (Teamwork and Collaboration) โลกการทำงานในปัจจุบันไม่มีใครสามารถทำงานคนเดียวได้อีกต่อไป สมรรถนะด้านนี้จึงเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองในทีม รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันได้ โดยมีภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี

การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active Citizenship) คือการตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เคารพในกฎกติกาและสิทธิของผู้อื่น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในสังคมตามวิถีประชาธิปไตย และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน (Sustainable Co-existence with Nature and Science) คือความเข้าใจในหลักการของธรรมชาติและเทคโนโลยี มีความสามารถในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และมีคุณธรรม ไม่เบียดเบียนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมองเห็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อเป้าหมายเปลี่ยน บทบาทของ “ครู” และรูปแบบของ “ห้องเรียน” ก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ครูเป็น “ผู้บรรยาย” หรือผู้ส่งมอบความรู้หน้าชั้นเรียน บทบาทใหม่ของครูคือการเป็น “ผู้อำนวยการการเรียนรู้ (Learning Facilitator)” หรือ “โค้ช (Coach)” ที่คอยออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ท้าทายและมีความหมายสำหรับนักเรียนแต่ละคน ครูจะต้องเปลี่ยนจากการสอนแบบ “One-Size-Fits-All” ไปสู่การจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและแตกต่างตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน (Personalized Learning) ห้องเรียนจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสี่เหลี่ยม แต่จะขยายออกไปสู่ชุมชน แหล่งเรียนรู้ต่างๆ หรือแม้แต่บนโลกออนไลน์

รูปแบบการเรียนการสอนจะเปลี่ยนจาก Passive Learning ที่นักเรียนนั่งฟังอย่างเดียว ไปสู่ Active Learning ที่ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) ที่นักเรียนได้ตั้งคำถามที่ตนเองสนใจแล้วสืบค้นหาคำตอบผ่านการทำโครงงานจริง การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ที่ครูนำเสนอปัญหาจริงที่เกิดขึ้นในชุมชนหรือสังคมให้นักเรียนร่วมกันคิดหาทางแก้ไข หรือ การเรียนรู้ผ่านเกม (Gamification) ที่ทำให้การเรียนสนุกสนานและน่าติดตาม กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักเรียนได้ความรู้ แต่ยังได้ฝึกฝนสมรรถนะหลักทั้ง 6 ด้านไปพร้อมๆ กันอย่างเป็นธรรมชาติ

สิ่งที่สำคัญและท้าทายที่สุดอีกประการหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ คือ การวัดและประเมินผล จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับการใช้ข้อสอบปรนัยหรืออัตนัยเพื่อตัดเกรดเพียงไม่กี่ครั้งต่อภาคเรียน การประเมินผลในระบบใหม่จะเปลี่ยนไปสู่ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ซึ่งเป็นการประเมินที่เน้นดู “กระบวนการ” และ “ผลงาน” ที่แสดงถึงความสามารถในการปฏิบัติได้จริงของผู้เรียน ครูจะไม่ใช่ผู้ประเมินเพียงคนเดียวอีกต่อไป แต่จะมีการประเมินที่หลากหลายมิติ ทั้งการประเมินตนเองของนักเรียน (Self-Assessment) การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) และการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) ที่รวบรวมหลักฐานการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีการศึกษา เป้าหมายของการประเมินจะเปลี่ยนจากการ “ตัดสิน” (Assessment of Learning) ว่าใครได้เกรดอะไร ไปสู่การ “พัฒนา” (Assessment for Learning) ที่ให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียนเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้บรรลุสมรรถนะที่ตั้งไว้

แน่นอนว่าการเดินทางสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะเต็มรูปแบบนั้นย่อมมีความท้าทายอยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาครูจำนวนมหาศาลให้มีความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้บริหารและผู้ปกครองที่อาจยังยึดติดกับเกรดและอันดับการสอบ การจัดสรรทรัพยากรและสื่อการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมแบบ Active Learning รวมถึงการพัฒนาระบบการประเมินผลที่เชื่อถือได้และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องหวาดกลัว แต่เป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่แข็งแกร่ง

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะคือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งสร้างคนให้มีคุณภาพอย่างแท้จริง เป็นการเปลี่ยนจุดเน้นจากการสะสมความรู้ที่อาจล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว มาสู่การสร้างสมรรถนะที่จำเป็นซึ่งจะติดตัวผู้เรียนไปตลอดชีวิต ทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ด้วยตนเอง ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องแคล่ว แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น และเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและโลก นี่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดเพื่ออนาคตของเด็กไทยและอนาคตของประเทศไทย ที่จะทำให้พวกเขาก้าวออกไปเผชิญโลกกว้างได้อย่างองอาจและเต็มไปด้วยศักยภาพ พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างยั่งยืน

รายละเอียด

อบรมออนไลน์รับเกียรติบัตร โดย สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) เปิดรับสมัครครูและบุคลากรทางการศึกษา อบรมออนไลน์ จำนวน 5 หลักสูตร หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สู่ ฐานสมรรถนะ

อบรม วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.00 – 16.00 น.

วิทยากร อ.ดวงพร เทียนเงิน และ อ.อนันต์ศักดิ์ สร้างคำ

คำชี้แจง

การได้รับเกียรติบัตร ท่านจะต้องทำแบบสอบหลังการพัฒนา (เกณฑ์การผ่าน ร้อยละ 60) และตอบแบบประเมินความพึงพอใจของโครงการ

รับเกียรติบัตรออนไลน์ ผู้ได้รับเกียรติบัตรจะต้องตอบแบบประเมินวิทยากร ความพึงพอใจ และทดสอบหลังการอบรม

อบรมออนไลน์ฟรี หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สู่ ฐานสมรรถนะ

คลิกรับชมออนไลน์

ขอบคุณแหล่งที่มา : สถาบันพัฒนาครู สคบศ.

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด