สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ ตามบริบทของห้องเรียน ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
ดาวน์โหลด แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติในห้องเรียนไทย
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากอดีต โดยเฉพาะในบริบทของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ระบบการศึกษาแบบเดิมที่เน้นการท่องจำและการสอบข้อเขียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กและเยาวชนในการเผชิญกับความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจและได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการศึกษาไทย การจัดการเรียนรู้แบบนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การถ่ายทอดความรู้จากครูสู่ผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังเน้นการพัฒนาทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต
ความหมายและหลักการของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก
การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกหรือที่เรียกว่า Active Competency-Based Learning เป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมรรถนะหรือความสามารถในการนำความรู้ ทักษะ และเจคติไปใช้ในสถานการณ์จริง แนวคิดนี้แตกต่างจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลัก โดยการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะจะมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ผู้เรียนสามารถทำได้จริงหลังจากเรียนจบหลักสูตร มากกว่าการจดจำเนื้อหาในตำราเรียน
หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกประกอบด้วยหลายมิติที่สัมพันธ์กัน ประการแรกคือการให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพราะเข้าใจว่าผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพ ความสนใจ และจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ประการที่สองคือการเน้นการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติและประสบการณ์จริง เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนรู้ ประการที่สามคือการเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชีวิตจริง โดยสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ที่สะท้อนปัญหาและความท้าทายที่พบได้ในโลกแห่งความจริง และประการสุดท้ายคือการประเมินผลตามสมรรถนะที่แท้จริง ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือและวิธีการประเมินที่หลากหลายมากกว่าการสอบข้อเขียนเพียงอย่างเดียว
บริบทของการศึกษาไทยและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง
ระบบการศึกษาไทยในอดีตได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการศึกษาแบบตะวันตกในยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นการสร้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทางและสามารถทำงานตามคำสั่งได้ดี ระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบรวมศูนย์และการจัดอันดับโรงเรียนตามคะแนนสอบได้สร้างวัฒนธรรมการแข่งขันที่รุนแรงและทำให้การเรียนการสอนเน้นไปที่การท่องจำและการฝึกทำข้อสอบ สิ่งนี้ส่งผลให้นักเรียนไทยหลายคนมีความรู้ทางทฤษฎีดี แต่ขาดทักษะในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์จริง ขาดความคิดสร้างสรรค์ และขาดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้พยายามปฏิรูปการศึกษาหลายครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสร้างผู้เรียนที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ได้พยายามเน้นการพัฮนาผู้เรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้เรียน อย่างไรก็ตาม การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนยังคงเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งจากความเคยชินของครูผู้สอนกับวิธีการสอนแบบเดิม ความกดดันจากผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกได้คะแนนสอบสูง ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน และการขาดความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
องค์ประกอบสำคัญของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก
การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกประกอบด้วยองค์ประกอบหลักหลายประการที่ต้องทำงานประสานกัน องค์ประกอบแรกคือการกำหนดสมรรถนะที่ชัดเจน ครูจำเป็นต้องระบุให้ได้ว่าต้องการพัฒนาสมรรถนะอะไรในผู้เรียน ซึ่งอาจรวมถึงสมรรถนะทางด้านความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะเหล่านี้ควรเขียนในรูปของพฤติกรรมที่สามารถสังเกตและวัดได้ เช่น ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ปัญหาจากข้อมูลที่หลากหลายและเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม หรือผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบที่สองคือการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กิจกรรมเหล่านี้ควรมีความหลากหลายและท้าทายความสามารถของผู้เรียนในระดับที่เหมาะสม ตัวอย่างของกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกได้แก่ การเรียนรู้แบบโครงงาน ซึ่งผู้เรียนต้องศึกษาค้นคว้าหัวข้อที่สนใจอย่างลึกซึ้งและนำเสนอผลงาน การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ที่ผู้เรียนต้องร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อนและหาแนวทางแก้ไข การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ที่ผู้เรียนตั้งคำถามและออกแบบการทดลองเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา ที่ผู้เรียนวิเคราะห์สถานการณ์จริงและเสนอแนวทางการจัดการ และการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด ที่ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนกระบวนการเรียนรู้ของตนเองและคิดวิเคราะห์ว่าได้เรียนรู้อะไรและจะพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไร
องค์ประกอบที่สามคือบทบาทของครูที่เปลี่ยนไปจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความสะดวกและพี่เลี้ยงในการเรียนรู้ ครูในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกต้องมีทักษะหลายด้าน ได้แก่ ความสามารถในการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและมีความหมาย ความสามารถในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและปลอดภัยทางจิตใจ ความสามารถในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดของผู้เรียน ความสามารถในการให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์และช่วยให้ผู้เรียนพัฒนา และความสามารถในการสังเกตและประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนในหลายมิติ ครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น ลงมือปฏิบัติ ทำผิดพลาด และเรียนรู้จากประสบการณ์
กลยุทธ์การนำไปปฏิบัติในห้องเรียนไทย
การนำแนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกไปใช้ในห้องเรียนไทยต้องคำนึงถึงบริบทและข้อจำกัดต่างๆ กลยุทธ์แรกคือการเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ครูไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนทั้งหมดในคราวเดียว แต่สามารถเริ่มจากการนำกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกมาใช้ในบางหน่วยการเรียนรู้หรือบางช่วงของการสอนก่อน เช่น อาจเริ่มจากการใช้คำถามปลายเปิดมากขึ้นในการสอน การให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่มในบางโอกาส หรือการมอบหมายโครงงานเล็กๆ แทนการบ้านแบบเดิมบางครั้ง เมื่อครูและผู้เรียนคุ้นเคยกับแนวทางใหม่มากขึ้น ก็ค่อยๆ เพิ่มความถี่และความซับซ้อนของกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกขึ้นเรื่อยๆ
กลยุทธ์ที่สองคือการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น แทนที่จะสอนตามตำราเรียนอย่างเคร่งครัด ครูสามารถนำเอาประเด็นปัญหาหรือความสนใจของชุมชนมาเป็นฐานในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น หากสอนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องคุณภาพน้ำ อาจให้ผู้เรียนศึกษาคุณภาพน้ำในแม่น้ำหรือคลองใกล้โรงเรียน วิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางการอนุรักษ์ หรือหากสอนคณิตศาสตร์เรื่องการคำนวณ อาจให้ผู้เรียนสำรวจราคาสินค้าในตลาดและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคา การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชีวิตจริงไม่เพียงแต่ทำให้ผู้เรียนเห็นความหมายและประโยชน์ของการเรียนรู้ แต่ยังช่วยพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบต่อชุมชนของตนอีกด้วย
กลยุทธ์ที่สามคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ แม้ว่าโรงเรียนไทยหลายแห่งอาจมีข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี แต่ก็ยังมีทรัพยากรดิจิทัลฟรีมากมายที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ วิดีโอการสอนจากอินเทอร์เน็ต เครื่องมือสร้างสื่อมัลติมีเดีย และแอปพลิเคชันการศึกษาต่างๆ นอกจากนี้ ครูยังสามารถใช้สมาร์ทโฟนของผู้เรียนเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เช่น การถ่ายภาพเพื่อบันทึกข้อมูล การค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต การสร้างวิดีโอนำเสนอ หรือการใช้แอปพลิเคชันสำหรับการทำแบบสำรวจและการประเมินผล สิ่งสำคัญคือครูต้องคิดอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับวิธีการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้
การประเมินผลแบบฐานสมรรถนะ
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกคือการประเมินผล เพราะสมรรถนะส่วนใหญ่ไม่สามารถวัดได้ด้วยข้อสอบแบบเลือกตอบหรือเติมคำเพียงอย่างเดียว ครูจำเป็นต้องใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายและสอดคล้องกับลักษณะของสมรรถนะที่ต้องการพัฒนา การประเมินผลแบบฐานสมรรถนะมีหลายรูปแบบ เช่น การประเมินผลงาน ซึ่งดูจากผลงานที่ผู้เรียนสร้างขึ้น เช่น โครงงาน รายงาน ผลิตภัณฑ์ หรือการแสดง การประเมินการปฏิบัติ ซึ่งสังเกตจากการแสดงทักษะหรือกระบวนการทำงานของผู้เรียน การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน ที่รวบรวมผลงานของผู้เรียนตลอดช่วงเวลาหนึ่งเพื่อแสดงการพัฒนา และการประเมินตนเองและประเมินเพื่อน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสะท้อนคิดและให้ข้อมูลย้อนกลับซึ่งกันและกัน
สิ่งสำคัญในการประเมินผลแบบฐานสมรรถนะคือต้องมีเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนและสื่อสารให้ผู้เรียนเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้น รูบริก หรือเกณฑ์การประเมินเชิงคุณภาพ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการทำให้เกณฑ์การประเมินมีความชัดเจน รูบริกควรระบุมิติต่างๆ ที่จะประเมินและอธิบายระดับคุณภาพของการปฏิบัติงานแต่ละระดับ ตัวอย่างเช่น สำหรับการประเมินการนำเสนอ อาจมีมิติการประเมินเช่น เนื้อหา การจัดองค์ความรู้ ทักษะการนำเสนอ การใช้สื่อ และการตอบคำถาม แต่ละมิติจะมีคำอธิบายสำหรับระดับคุณภาพต่างๆ เช่น ดีเยี่ยม ดี ปานกลาง และต้องปรับปรุง เมื่อผู้เรียนทราบเกณฑ์การประเมินล่วงหน้า พวกเขาจะสามารถเตรียมตัวและพัฒนางานของตนได้อย่างมีทิศทางชัดเจนขึ้น
การประเมินผลในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกไม่ควรเน้นเพียงการตัดสินผลการเรียน แต่ควรใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ การประเมินเพื่อการเรียนรู้ หรือการให้ข้อมูลย้อนกลับระหว่างกระบวนการเรียนรู้มีความสำคัญมาก ครูควรให้ข้อมูลย้อนกลับที่เฉพาะเจาะจงและสร้างสรรค์แก่ผู้เรียน โดยชี้ให้เห็นทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา การให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจการเรียนรู้ของตนเองดีขึ้น ตระหนักถึงจุดที่ต้องพัฒนา
แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

บทนำ
ปัจจุบัน แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะแนวทางเชิงรุกที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน การสร้างโอกาสในการทดลองปฏิบัติจริง และการบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน บทความนี้จะถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก เพื่อให้ครูและผู้ที่สนใจสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวคิดของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตและอาชีพ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบทบาทเป็นศูนย์กลาง กระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้ไปประยุกต์ใช้และปรับตัวได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ได้แก่
- การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ: ผู้เรียนได้ลงมือทำจริงเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น
- การบูรณาการความรู้: ผสมผสานองค์ความรู้จากหลากหลายศาสตร์
- การพัฒนากระบวนการคิด: ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา
- การสร้างสรรค์และนวัตกรรม: เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างแนวคิดใหม่
แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก
เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดการเรียนรู้เชิงรุกจึงต้องมีการวางแผนที่ชัดเจนและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยครูและผู้สอนสามารถใช้แนวทางต่อไปนี้เพื่อเพิ่มคุณภาพของการเรียนรู้
- การตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจน
- กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสมรรถนะที่ต้องการพัฒนา
- ใช้เกณฑ์วัดผลที่สะท้อนถึงความสามารถของผู้เรียนในการนำความรู้ไปใช้จริง
- การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะ
- ใช้กิจกรรมแบบโครงงานเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสทำงานจริง
- จัดการเรียนรู้แบบ Problem-based learning เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
- นำกิจกรรมแบบ Active Learning มาใช้เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
- การใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้
- ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลาย
- ส่งเสริมการใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง
- การประเมินผลอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้
- ใช้วิธีการประเมินที่เน้นสมรรถนะมากกว่าการท่องจำ
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาตนเอง
ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ
การนำแนวคิดการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะมาใช้ในการสอนต้องเริ่มจากการเข้าใจความต้องการของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนบทบาทของครูจากผู้ให้ความรู้เป็นผู้สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้
ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในโรงเรียนหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า การนำวิธีการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะ เช่น โครงงาน การเรียนรู้แบบร่วมมือ และการใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะที่สามารถนำไปใช้จริงในชีวิตจริงได้
บทสรุป
การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุกไม่ใช่เพียงแค่การนำแนวคิดมาปรับใช้ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการออกแบบ วางแผน และประเมินผลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ครูและผู้สอนจึงต้องมีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างไฟล์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ




