สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O–NET ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทาง ในการเรียนรู้ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O–NET ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O–NET ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

ดาวน์โหลด การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O–NET สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง


การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O-NET

การวัด (Measurement )
การวัด หมายถึง กระบวนการบอกปริมาณหรือคุณภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเลข หรือข้อมูลเชิงคุณภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของสิ่งที่จะวัดและวัตถุประสงค์ของการวัด
การประเมินผล ( Evaluation )
การประเมิน หมายถึง การตัดสินหรือลงความเห็นใด ๆ จากผลของการวัด วิเคราะห์ผลที่วัดได้หรือหลักฐานอื่น ๆ ประกอบการลงความเห็น
การประเมินผลมีหลายแนวคิด ตามแต่ว่าจะนำไปใช้ทางใด สำหรับแนวคิดทางการศึกษาแล้วการประเมินผลการศึกษาอาจใช้คำจำกัดความได้ว่า เป็นกระบวนการตรวจสอบอย่างมีระบบว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเพียงใด
จากคำจำกัดความดังกล่าว จะมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ กระบวนการตรวจสอบอย่างมีระบบ ซึ่งหมายถึง การวัด วัตถุประสงค์ของการศึกษา ซึ่งเป็นเสมือนเกณฑ์หรือคุณค่าที่นำมาใช้ในการตัดสิน

การวัดและการประเมินผล เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน เพราะการวัดเป็นไปเพื่อการประเมินว่าดีเลว เก่งอ่อนเพียงใด สิ่งใดบ้างที่ต้องแก้ไขปรับปรุงพัฒนา ถ้าเป็นผลของการเรียนรู้ก็ต้องเทียบกับวัตถุประสงค์ว่าการเรียนรู้นั้นบรรลุวัตถุประสงค์เพียงใด

คุณลักษณะสำคัญของการวัดผลการศึกษา
การวัดผลการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ผู้สอนทุกคนจะต้องให้ความสนใจ การวัดผลการศึกษา เป็นกระยวนการวัดทางปัญญาความคิด หรือไม่ก็เป็นการวัดทางเจตคติ(Attitude ) ความสนใจ (Interest ) เชาว์ปัญญา ( Intelligence ) เป็นต้น นับว่ามีคุณลักษณะที่ร่วมกันของการวัดดังกล่าว ดังนี้

  1. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดผลทางอ้อม ( Indirect Measurement)ยกตัวอย่าง เช่น การวัดระดับสติปัญญา ซึ่งเราไม่สามารถชั่งน้ำหนัก วัดความยาวได้เป็นคุณลักษณะที่แฝงอยู่ภายใน แต่สติปัญญาเป็นตัวบอกว่าเราทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้เราต้องแสดงออกแล้วจึงจะวัดได้การทดลองและการทดสอบ จึงเป็นพฤติกรรมตอบสนองเพื่อนำมาแปล
    ความหมายเป็นระดับสติปัญญาได้ดังนั้นการวัดสติปัญญาจึงเป็นการวัดที่ไม่ใช่ที่ตัวปัญญาโดยตรงเป็นการวัดทางอ้อม เช่นเดียวกันเมื่อเป็นการวัดพฤติกรรม เพื่อวัดคุณค่าภายในซึ่งเป็นความสามารถของมนุษย์จึงเป็นการวัดผลทางอ้อมด้วย
  2. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์( Measurement is Imcomplete ) การวัดผลการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด ข้อสอบที่สร้างขึ้นเป็นเพียงการสุ่มตัวอย่างของวิชา
    นั้น ไม่สามารถออกข้อสอบถามเนื้อหาวิชาทั้งหมดได้ทั้งนี้อาจจำกัดด้วยเวลา ที่จริงแล้วเราต้องวัดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการเรียนรู้ทั้งหมด แต่ไม่สามารถทำได้จึงทำให้การวัดผลไม่สมบูรณ์การเรียนภาษาอังกฤษระดับหนึ่ง คือระดับพื้นฐาน จะต้องเรียนรู้คำศัพท์ประมาณ 4,000 คำ แต่ข้อสอบชุดหนึ่งสามารถออกข้อสอบได้ประมาณ 50 ถึง 100 คำ เท่านั้น ไม่สามารถวัดได้ทุกคำ กลุ่มคำที่เป็นข้อสอบเป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างของการวัดเท่านั้น จึงสรุปได้ว่าการวัดผลการศึกษาไม่สมบูรณ์
  3. การวัดผลทางการศึกษาเป็นค่าคะแนนสัมพัทธ์(Relative Score )นักศึกษาได้คะแนน ร้อยละ 50 หมายความว่าอย่างไร นักศึกษามีความรู้เพียงครึ่งหนึ่งหรือไม่นักศึกษามีความรู้ความสามารถปานกลางหรืออ่อน เราจะตีความหมายว่าอย่างไรในกรณีต่อไปนี้ ถ้าคะแนนที่ได้ร้อยละ 50 นั้น เป็นคะแนนสูงสุดของชั้นเพราะข้อสอบยาก นักศึกษาคนนี้นับได้ว่าเก่งที่สุดในชั้น และถ้าคะแนนดังกล่าวเป็นคะแนนต่ำสุดของห้อง จึงน่าจะเป็นคนที่อ่อนที่สุดในชั้น คะแนนที่ได้จากการตรวจข้อสอบหรือคะแนนดิบ ( Raw Score ) ไม่มีความหมายใด คะแนนดิบจะมีความหมายเมื่อทำให้เป็นค่าคะแนนสัมพัทธ์คือเป็นคะแนนที่อิงกลุ่ม (Group Reference or Norm Reference ) คะแนนจึงเป็นคะแนนที่ได้จากการตรวจสอบข้อสอบและคะแนนที่บอกร้อยละไม่ได้ต้องเป็นค่าคะแนนสัมพัทธ์(Relative Score )
  4. การวัดผลทางการศึกษา เป็นการวัดเพื่อการจัดพวก (Classification ) คะแนนที่แตกต่างกันทางตัวเลขเล็กน้อย เช่น 60 กับ 65 มีความแตกต่างกันเพียงไร นักศึกษาที่ได้คะแนนดังกล่าวจะมีความแตกต่างกันในด้านความรู้ความสามารถเท่ากับคะแนนที่แตกต่างกันแน่นอนหรือไม่และเนื่องจากคะแนนดิบมีความหมายในตัวเลข การวัดผลการศึกษาและจิตวิทยา เป็นการวัดเพื่อการวัดจัดพวกหรือจัดกลุ่มเท่านั้น
  1. การวัดผลทางการศึกษามีความคลาดเคลื่อนบรรดาการวัดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการวัดใด ๆ จะต้องมีความคลาดเคลื่อน การวัดผลทางการศึกษาก็เช่นเดียวกัน การวัดว่าโต๊ะตัวนี้สูงเท่าใดแม้ว่าจะมีไม้เมตรวัดที่แน่นอนแล้ว แต่ก็ยังคลาดเคลื่อนด้วยเหตุว่าวัดตรงไหน ที่มุมโต๊ะ ตัวโต๊ะ กลางโต๊ะ จะสูงเท่ากันหรือไม่ และวัดเวลาใด โต๊ะที่เป็นโลหะยังยืดหยุ่นด้วยอุณหภูมิที่ต่างๆกัน โต๊ะที่ไม่ความชื้นของอากาศแตกต่างกัน การยืดหยุ่นยังแตกต่างกันอีก ผู้วัดมีสายตาที่ต่างกันจะเห็นได้ว่า แม้จะมีเครื่องมือที่มีมาตรฐานสูงแล้ว ยังให้ผลที่
    คลาดเคลื่อน การวัดผลทางการศึกษายิ่งมีความคลาดเคลื่อนมากด้วยเครื่องมือ วิธีการ และผู้วัด รวมทั้งผู้ที่ถูกวัดด้วย เพราะฉะนั้น นักวัดผลจะต้องตระหนักถึงความจริงข้อนี้จึงจะช่วยให้ผู้วัดมีความระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ ความประณีตในการวัด รวมทั้งการให้ความระมัดระวังในการลงความเห็นด้วย

ในยุคที่การศึกษาไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ และการแข่งขันบนเวทีโลก การพัฒนาครูให้มีความสามารถในการสร้างข้อสอบที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O-NET จึงเป็นการพัฒนาทักษะที่สำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยให้ก้าวทันโลก

ความสำคัญของการสร้างข้อสอบตามแนว PISA และ O-NET

การประเมินผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เน้นเพียงการท่องจำความรู้เหมือนในอดีต แต่ต้องการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง PISA หรือ Programme for International Student Assessment เป็นโครงการประเมินนักเรียนระดับนานาชาติที่มีเป้าหมายวัดความสามารถของนักเรียนอายุ 15 ปีในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเน้นการใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน

ส่วน O-NET หรือ Ordinary National Educational Test เป็นการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานของประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของผู้เรียนในระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้หลัก ทั้งสองระบบการประเมินนี้ต่างมีเป้าหมายร่วมกันคือการวัดความสามารถในการคิดขั้นสูงและการประยุกต์ใช้ความรู้

การที่ครูไทยสามารถสร้างข้อสอบที่มีคุณภาพตามแนวทางเหล่านี้ได้ จะช่วยให้นักเรียนมีความพร้อมในการเข้าสู่การทดสอบระดับชาติและนานาชาติมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนให้เข้มแข็งขึ้นไปพร้อมๆ กัน

หลักการและแนวทางของการสร้างข้อสอบแนว PISA

PISA มีจุดเด่นอยู่ที่การประเมินความสามารถในการใช้ความรู้และทักษะในบริบทของชีวิตจริง โดยไม่ได้เน้นการท่องจำเนื้อหาในหลักสูตร การสร้างข้อสอบแนว PISA จึงต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญหลายประการ

ประการแรกคือการเชื่อมโยงกับบริบทชีวิตจริง ข้อสอบ PISA มักจะนำเสนอสถานการณ์ที่นักเรียนอาจพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น การอ่านแผนที่ การคำนวณค่าใช้จ่าย การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ หรือการตีความกราฟและตาราง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้นักเรียนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนในห้องเรียนกับการใช้ชีวิตจริง

ประการที่สองคือการมุ่งเน้นกระบวนการคิด มากกว่าการจำความรู้ ข้อสอบ PISA จะประเมินความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และการแก้ปัญหา นักเรียนต้องใช้ความรู้พื้นฐานเป็นเครื่องมือในการคิด ไม่ใช่เป็นจุดหมายปลายทาง

ประการที่สามคือการใช้รูปแบบคำถามที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงคำถามแบบเลือกตอบ แต่รวมถึงคำถามแบบเขียนตอบสั้น คำถามแบบเขียนตอบยาว และคำถามแบบมีหลายขั้นตอน ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความสามารถของนักเรียนได้อย่างครอบคลุม

ประการสุดท้ายคือการคำนึงถึงระดับความยาก ข้อสอบ PISA มีการแบ่งระดับความยากเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานที่สุดจนถึงระดับขั้นสูง การสร้างข้อสอบจึงต้องมีความหลากหลายในระดับความยากเพื่อให้สามารถประเมินนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันได้

แนวทางการสร้างข้อสอบ O-NET ที่มีประสิทธิภาพ

O-NET ในฐานะการทดสอบระดับชาติของไทย มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจาก PISA แต่ก็มีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการประเมินความสามารถขั้นสูงของผู้เรียน การสร้างข้อสอบ O-NET ที่ดีจึงต้องเข้าใจหลักการและแนวทางที่สำคัญ

หลักการพื้นฐานของการสร้างข้อสอบ O-NET คือการวัดผลสัมฤทธิ์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยครอบคลุมทั้งความรู้และทักษะกระบวนการ ข้อสอบต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร

การสร้างข้อสอบ O-NET ที่มีคุณภาพจะต้องครอบคลุมความสามารถในการคิดทั้ง 6 ระดับตามแนวคิดของบลูม ได้แก่ การจำ การเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า โดยในปัจจุบันมีการเน้นไปที่การคิดระดับสูง คือ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่ามากขึ้น

ลักษณะของข้อสอบ O-NET ที่ดีจะต้องมีความเที่ยงตรงในการวัด หมายความว่าข้อสอบวัดในสิ่งที่ต้องการวัดจริงๆ ไม่วัดความสามารถอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ถ้าต้องการวัดความสามารถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ ก็ไม่ควรใช้ข้อความที่ซับซ้อนเกินไปจนกลายเป็นการวัดความสามารถในการอ่านแทน

องค์ประกอบของการอบรมเชิงปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ

การอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับการสร้างข้อสอบตามแนว PISA และ O-NET ต้องมีโครงสร้างและองค์ประกอบที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบแรกที่สำคัญคือการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและปรัชญาของ PISA และ O-NET ผู้เข้าอบรมต้องเข้าใจว่าทำไมการทดสอบทั้งสองรูปแบบจึงมีความสำคัญ และมีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การทำความเข้าใจนี้จะช่วยให้ครูมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อการสร้างข้อสอบ

องค์ประกอบที่สองคือการวิเคราะห์ข้อสอบตัวอย่าง ผู้เข้าอบรมจะได้ศึกษาข้อสอบ PISA และ O-NET จริงที่ใช้ในการทดสอบ โดยการแยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของข้อสอบ เช่น รูปแบบคำถาม ระดับความยาก การใช้ภาษา การนำเสนอข้อมูล และเกณฑ์การให้คะแนน การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้ครูเข้าใจโครงสร้างและรูปแบบของข้อสอบอย่างลึกซึ้ง

องค์ประกอบที่สามคือการฝึกปฏิบัติการสร้างข้อสอบ ผู้เข้าอบรมจะได้ลงมือสร้างข้อสอบจริงๆ ตั้งแต่การกำหนดจุดประสงค์ของข้อสอบ การเลือกเนื้อหาและทักษะที่จะวัด การออกแบบสถานการณ์ การเขียนข้อคำถาม การสร้างตัวเลือกสำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ และการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับข้อสอบแบบเขียนตอบ

องค์ประกอบที่สี่คือการประเมินและปรับปรุงข้อสอบ ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้วิธีการตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบที่สร้างขึ้น ทั้งในด้านความเหมาะสมของเนื้อหา ความชัดเจนของภาษา ระดับความยาก และความครอบคลุมของทักษะที่วัด รวมทั้งการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อสอบเบื้องต้น

ขั้นตอนการสร้างข้อสอบแนว PISA อย่างเป็นระบบ

การสร้างข้อสอบแนว PISA ที่มีคุณภาพต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่เป็นระบบและมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด ขั้นตอนแรกคือการกำหนดจุดประสงค์และขอบข่ายของการวัด ผู้สร้างข้อสอบต้องระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการวัดความสามารถใดในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ และในบริบทของสถานการณ์แบบใด

ขั้นตอนที่สองคือการออกแบบสถานการณ์หรือบริบท สถานการณ์ที่ใช้ในข้อสอบ PISA จะต้องเป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้จริงในชีวิตประจำวัน มีความหลากหลาย และน่าสนใจสำหรับนักเรียนวัย 15 ปี สถานการณ์อาจเป็นการไปเที่ยว การซื้อของ การใช้เทคโนโลยี หรือการแก้ปัญหาในครอบครัว

ขั้นตอนที่สามคือการเตรียมข้อมูลประกอบ ข้อสอบ PISA มักจะมีข้อมูลประกอบ เช่น ตาราง กราฟ แผนที่ รูปภาพ หรือข้อความ ข้อมูลเหล่านี้จะต้องมีความถูกต้อง เหมาะสมกับระดับของนักเรียน และสามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการตอบคำถามได้

ขั้นตอนที่สี่คือการเขียนคำถาม คำถามของข้อสอบ PISA จะต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ และต้องการให้นักเรียนใช้กระบวนการคิดในการหาคำตอบ คำถามอาจจะเป็นแบบเลือกตอบ แบบเขียนตอบสั้น หรือแบบเขียนตอบยาว ขึ้นอยู่กับลักษณะของทักษะที่ต้องการวัด

ขั้นตอนที่ห้าคือการสร้างเกณฑ์การให้คะแนน สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบนั้นเกณฑ์การให้คะแนนจะชัดเจน แต่สำหรับข้อสอบแบบเขียนตอบจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนที่ละเอียด รวมถึงตัวอย่างคำตอบในระดับคะแนนต่างๆ เพื่อให้การให้คะแนนมีความเป็นธรรมและสม่ำเสมอ

ขั้นตอนสุดท้ายคือการทดสอบและปรับปรุงข้อสอบ ข้อสอบที่สร้างขึ้นควรจะได้รับการทดสอบกับกลุ่มนักเรียนตัวอย่างก่อนนำไปใช้จริง เพื่อตรวจสอบว่าข้อสอบมีความเหมาะสมในด้านต่างๆ และสามารถวัดความสามารถได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่

เทคนิคการสร้างข้อสอบ O-NET ที่ตรงมาตรฐาน

การสร้างข้อสอบ O-NET ที่มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐานต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งแตกต่างจาก PISA ในบางประเด็น แต่ก็มีจุดร่วมในการเน้นการวัดความสามารถในการคิดขั้นสูง

เทคนิคแรกคือการศึกษาและทำความเข้าใจมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ผู้สร้างข้อสอบต้องศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจว่าในแต่ละระดับชั้นนักเรียนควรจะมีความรู้และทักษะอะไรบ้าง และในระดับใด การทำความเข้าใจนี้จะช่วยให้สร้างข้อสอบที่สอดคล้องกับหลักสูตรและเหมาะสมกับระดับชั้น

เทคนิคที่สองคือการใช้แบบจำลอง Item Writing ที่เป็นมาตรฐาน การเขียนข้อสอบ O-NET จะมีรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่การใช้ภาษาที่เหมาะสม การจัดรูปแบบของข้อคำถาม การสร้างตัวเลือก และการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปในการเขียนข้อสอบ เช่น การใช้คำว่า “ทั้งหมดข้างต้น” หรือ “ไม่มีข้อใดถูกต้อง” ซึ่งอาจทำให้นักเรียนเดาคำตอบได้ง่าย

เทคนิคที่สามคือการสร้างข้อสอบที่มีระดับความยากหลายระดับ ข้อสอบ O-NET ชุดหนึ่งจะประกอบด้วยข้อสอบที่มีระดับความยากแตกต่างกัน เพื่อให้สามารถแยกแยะความสามารถของนักเรียนได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปจะมีข้อง่าย ข้อปานกลาง และข้อยากในอัตราส่วนที่เหมาะสม

เทคนิคที่สี่คือการใช้สถานการณ์และบริบทที่เหมาะสมกับสังคมไทย แม้ว่า O-NET จะมีมาตรฐานสากล แต่เนื้อหาและสถานการณ์ที่ใช้ในข้อสอบควรจะเป็นสิ่งที่นักเรียนไทยคุ้นเคยและสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น การใช้ชื่อสถานที่ในประเทศไทย การอ้างอิงถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทย

เทคนิคสุดท้ายคือการตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบ ทั้งในด้านเนื้อหา ภาษา และเทคนิค การตรวจสอบนี้ควรจะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน และควรมีการทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนนำไปใช้จริง

การใช้เทคโนโลยีในการสร้างและการจัดการข้อสอบ

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีในการสร้างและจัดการข้อสอบกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์อย่างมาก เทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยให้การสร้างข้อสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยในการจัดเก็บ การวิเคราะห์ และการปรับปรุงคุณภาพของข้อสอบ

หนึ่งในเครื่องมือเทคโนโลジีที่มีประโยชน์คือระบบการจัดการธนาคารข้อสอบ ระบบนี้ช่วยให้ครูสามารถจัดเก็บข้อสอบที่สร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ แบ่งประเภทตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ระดับชั้น ระดับความยาก และทักษะที่วัด การมีธนาคารข้อสอบที่ดีจะช่วยให้ครูสามารถนำข้อสอบเดิมมาใช้ซ้ำ ดัดแปลง หรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้

เครื่องมือที่สองที่มีประโยชน์คือโปรแกรมการวิเคราะห์ข้อสอบ โปรแกรมเหล่านี้สามารถช่วยวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบในด้านต่างๆ เช่น ระดับความยาก อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่น และประสิทธิภาพของตัวเลือกที่ผิดในข้อสอบแบบเลือกตอบ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพดีขึ้น

เครื่องมือที่สามคือแพลตฟอร์มการสร้างข้อสอบออนไลน์ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะมีเทมเพลตและเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างข้อสอบรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการแทรกรูปภาพ วิดีโอ หรือไฟล์เสียง ซึ่งทำให้ข้อสอบมีความน่าสนใจและสามารถวัดทักษะได้หลากหลายมากขึ้น

ตัวอย่างไฟล์ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนว PISA และ O–NET


เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด