สื่อฟรีออนไลน์.com
ขอแนะนำไฟล์ หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย
สร้างรากฐานชีวิตให้ลูกรัก เจาะลึกทุกมิติหลักสูตรปฐมวัย พ.ศ. 2560 ฉบับพ่อแม่ต้องรู้
การศึกษาในระดับปฐมวัยเปรียบเสมือนการวางศิลาฤกษ์ก้อนแรกที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับอาคารแห่งชีวิตของลูกน้อย ช่วงเวลาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี คือหน้าต่างแห่งโอกาสทองที่สมองจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด การเรียนรู้และประสบการณ์ที่เด็กได้รับในช่วงนี้จะส่งผลโดยตรงต่อทัศนคติ บุคลิกภาพ ความสามารถในการเรียนรู้ และการปรับตัวเข้ากับสังคมในอนาคต พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า “หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย” แต่อาจยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้คืออะไร มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเด็กในด้านใดบ้าง และโรงเรียนอนุบาลที่ลูกรักกำลังจะก้าวเข้าไปเรียนรู้นั้น จัดการเรียนการสอนบนพื้นฐานของปรัชญาใด บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางที่สถานศึกษาปฐมวัยทั่วประเทศไทยใช้เป็นแนวทาง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มีความเข้าใจและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนพัฒนาการของลูกรักได้อย่างเต็มศักยภาพ
หัวใจหลักของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 ไม่ได้มุ่งเน้นที่การท่องจำเนื้อหาวิชาการหรือการเร่งรัดให้เด็กอ่านออกเขียนได้เพียงอย่างเดียว แต่ตั้งอยู่บนปรัชญาการศึกษาที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคนและให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กแบบองค์รวม (Holistic Development) หมายถึงการพัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างสมดุลครบถ้วนทั้งสี่ด้านไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยมีหลักการสำคัญคือการยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child-Centered) เคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคล และส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Learning through Play) อย่างมีความหมาย เพราะการเล่นคือธรรมชาติของเด็กและเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการเรียนรู้โลกรอบตัว การลงมือทำ และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง สถานศึกษาจึงมีบทบาทในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ กระตุ้นให้เด็กเกิดความสงสัยใคร่รู้ อยากสำรวจ ทดลอง และค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง โดยมีคุณครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกและชี้แนะแนวทาง ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว
เป้าหมายสูงสุดของหลักสูตรนี้ คือการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามวัย สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยกำหนดจุดหมายไว้ชัดเจนว่าเมื่อเด็กจบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยแล้ว เด็กควรจะมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี มีสุขนิสัยที่ดี รักการออกกำลังกาย มีความสามารถในการดูแลความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น มีคุณธรรม จริยธรรม มีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต มีทักษะชีวิตและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ตามวัย รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย พร้อมทั้งมีความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสาร ถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของตนเอง มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาลงลึกในรายละเอียดของพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่สถานศึกษาทุกแห่งใช้ในการออกแบบกิจกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็กๆ พัฒนาการเหล่านี้ไม่ได้ถูกแยกส่วนออกจากกัน แต่จะถูกบูรณาการเข้าด้วยกันในทุกกิจกรรมที่เด็กทำ
พัฒนาการด้านร่างกาย คือพื้นฐานแรกที่สำคัญที่สุด มุ่งเน้นให้เด็กมีร่างกายที่เจริญเติบโตแข็งแรงตามวัย มีสุขนิสัยที่ดี และสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วปลอดภัย ประกอบด้วยการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การเดิน การวิ่ง การกระโดด การปีนป่าย การทรงตัว ซึ่งส่งเสริมผ่านกิจกรรมกลางแจ้ง การเล่นเครื่องเล่นสนาม กิจกรรมเข้าจังหวะ หรือการเล่นอิสระ เด็กๆ จะได้เรียนรู้การควบคุมร่างกายของตนเองอย่างเต็มที่ และการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญาผ่านการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา เช่น การร้อยลูกปัด การติดกระดุม การวาดภาพระบายสี การปั้นดินน้ำมัน การต่อบล็อก หรือการใช้กรรไกรตัดกระดาษ กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อมือแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเขียนในอนาคต แต่ยังช่วยฝึกสมาธิและความอดทนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ หลักสูตรยังให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยส่วนตน เช่น การล้างมืออย่างถูกวิธี การแปรงฟัน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ และการเรียนรู้ที่จะระมัดระวังความปลอดภัยจากสิ่งที่เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ เป็นส่วนที่ช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นคนที่มีความสุข รู้จักและเข้าใจความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น หลักสูตรมุ่งส่งเสริมให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมกับวัย รู้จักชื่นชมความสวยงาม ความดี และสุนทรียภาพต่างๆ รอบตัว กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านนี้มีหลากหลาย เช่น การเล่านิทานที่มีเนื้อหาส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม การเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความรู้สึกผ่านการพูดคุยหรือการแสดงท่าทาง การทำงานศิลปะอย่างอิสระเพื่อระบายออกซึ่งจินตนาการและความรู้สึกภายใน การฟังดนตรี การร้องเพลง หรือการเคลื่อนไหวร่างกายตามเสียงเพลง สิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่อบอุ่น ปลอดภัย และไว้วางใจ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง และพัฒนาความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง (Self-Esteem) เมื่อเด็กรู้สึกดีกับตัวเอง เขาก็จะสามารถเผชิญกับความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ได้ เรียนรู้ที่จะรอคอย แบ่งปัน และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต
พัฒนาการด้านสังคม มุ่งเน้นให้เด็กสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม ทั้งในครอบครัว ห้องเรียน และชุมชน หลักสูตรจะจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์กับทั้งผู้ใหญ่และเด็กในวัยเดียวกัน ผ่านการเล่นร่วมกัน การทำงานกลุ่มเล็กๆ หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องมีการพูดคุย ต่อรอง แบ่งปัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เด็กจะได้เรียนรู้กฎ กติกา มารยาททางสังคม เช่น การเข้าแถว การรอคอยให้ถึงตาของตนเอง การกล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ การเคารพสิทธิของตนเองและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีไทยที่ดีงาม เช่น การไหว้ การละเล่นไทย วันสำคัญต่างๆ เพื่อปลูกฝังให้เด็กรู้สึกรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้อื่น เพื่อเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต
พัฒนาการด้านสติปัญญา คือความสามารถในการเรียนรู้ คิด แก้ปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หลักสูตรปฐมวัยไม่ได้เน้นการอัดฉีดข้อมูล แต่เน้นการสร้างทักษะกระบวนการคิดที่จำเป็นต่อการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต โดยส่งเสริมผ่านการจัดประสบการณ์ตรงที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสำรวจ สังเกต เปรียบเทียบ จำแนก และค้นหาคำตอบด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ง่ายๆ อย่างการจม-การลอยของสิ่งของ การเปลี่ยนแปลงของน้ำ หรือการเจริญเติบโตของพืช การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเลข จำนวน มิติสัมพันธ์ และเวลาผ่านการเล่นเกม การนับสิ่งของ หรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การส่งเสริมทักษะทางภาษาผ่านการฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเริ่มจากการฟังนิทาน การสนทนาโต้ตอบ การเล่าเรื่องจากภาพ การดูสัญลักษณ์และตัวอักษรที่อยู่รอบตัว ไปจนถึงการขีดเขียนอย่างอิสระเพื่อสื่อความหมาย สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระตุ้นให้เด็กเป็นคนช่างสงสัย ตั้งคำถามว่า “ทำไม” และ “อย่างไร” เพราะความสงสัยคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
การประเมินพัฒนาการในระดับปฐมวัยนั้นแตกต่างจากการสอบวัดผลในระดับชั้นอื่นๆ โดยสิ้นเชิง จะไม่มีการสอบข้อเขียนหรือการให้คะแนนเพื่อเปรียบเทียบว่าใครเก่งกว่าใคร แต่จะเป็นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าและพัฒนาการของเด็กแต่ละคนอย่างรอบด้าน คุณครูจะใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกตพฤติกรรมระหว่างการทำกิจกรรม การจดบันทึก การสนทนากับเด็ก การรวบรวมผลงานของเด็กเป็นแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนจัดประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในจุดที่ควรได้รับการสนับสนุนต่อไป และที่สำคัญคือการสื่อสารให้ผู้ปกครองทราบถึงความก้าวหน้าของลูกรักอย่างสม่ำเสมอ
ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการพัฒนาเด็กตามแนวทางหลักสูตรปฐมวัยจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมืออันดีระหว่างบ้านและโรงเรียน ผู้ปกครองคือครูคนแรกและคนสำคัญที่สุดของลูก การสร้างสภาพแวดล้อมที่บ้านให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ที่โรงเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น การพูดคุยซักถามถึงกิจกรรมที่ลูกทำในแต่ละวันด้วยความใส่ใจ การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ การชวนลูกทำกิจกรรมง่ายๆ ร่วมกัน เช่น ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ หรือทำงานศิลปะ การเปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพื่อฝึกความรับผิดชอบ และที่สำคัญคือการเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆ ด้าน เพราะเด็กเรียนรู้จากการกระทำมากกว่าคำพูด หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยจึงไม่ใช่เป็นเพียงคู่มือสำหรับครู แต่เป็นเสมือนเข็มทิศสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็ก เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เปี่ยมด้วยความสุขและมีความหมาย วางรากฐานที่แข็งแกร่งและมั่นคง ให้เด็กๆ เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมั่นใจและมีความสุข
หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิตในเด็กเล็ก
ความสำคัญของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย
หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย (Early Childhood Education Curriculum) เป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาเด็กในช่วงวัยที่สำคัญที่สุดในชีวิต เด็กอายุ 0-6 ปี เป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ในวัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในระดับต่อไป หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญาของเด็ก
การจัดการศึกษาที่ดีในช่วงนี้จะช่วยให้เด็กมีทักษะการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง รวมถึงการพัฒนาทักษะการเข้าสังคม การแก้ปัญหา และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น นอกจากนี้ หลักสูตรยังช่วยให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ
ส่วนประกอบของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย
หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง:
- กิจกรรมการเรียนรู้: กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเล่น การทำงานกลุ่ม และการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่าง ๆ
- เป้าหมายการเรียนรู้: การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับเด็กในแต่ละช่วงอายุ เช่น การพัฒนาทักษะทางภาษา การคิดวิเคราะห์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- การประเมินผล: การประเมินพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของเด็กอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก
- การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง: การสนับสนุนจากผู้ปกครองมีความสำคัญในการพัฒนาเด็ก โดยหลักสูตรควรส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็ก
ความท้าทายในการจัดหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย
การจัดหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น:
- การขาดแคลนทรัพยากร: หลายสถานศึกษาอาจขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
- การฝึกอบรมครู: ครูประจำสถานศึกษาปฐมวัยต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการสอนเด็กในวัยนี้
- ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: เด็กมาจากพื้นฐานและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การจัดหลักสูตรต้องสามารถรองรับความหลากหลายนี้ได้
- การสนับสนุนจากผู้ปกครอง: ความร่วมมือจากผู้ปกครองมีความสำคัญ แต่บางครั้งผู้ปกครองอาจไม่มีเวลา หรือไม่รู้วิธีที่จะมีส่วนร่วมในพัฒนาการของเด็ก
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้การศึกษาในช่วงวัยนี้มีคุณภาพและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่
แหล่งที่มา : โรงเรียนบ้านทุ่งฮ้าง
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร
เป็นไฟล์ Word แก้ไขได้




ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่าง
ขอบคุณแหล่งที่มา : โรงเรียนบ้านทุ่งฮ้าง