แบบฟอร์มรายงานการวิจัยในชั้นเรียน แนวทางการจัดทำอย่างเป็นระบบและครบถ้วน

การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ครูสามารถพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การวิจัยในลักษณะนี้เน้นการแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนจริง โดยครูทำการวิเคราะห์ สังเกต และปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน การจัดทำรายงานการวิจัยในชั้นเรียนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นเอกสารหลักที่สะท้อนถึงวิธีการดำเนินงาน ผลลัพธ์ และแนวทางพัฒนาต่อยอด เพื่อช่วยให้ครูหรือผู้ที่สนใจสามารถจัดทำรายงานได้อย่างครบถ้วน บทความนี้จะนำเสนอรูปแบบการเขียนรายงานอย่างละเอียด พร้อมแนวทางการเขียนแต่ละส่วน

ความสำคัญของรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนถือเป็นหลักฐานแสดงถึงความมุ่งมั่นของครูในการพัฒนาการเรียนการสอน การเขียนรายงานที่ดีจะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพนักเรียนและสร้างมาตรฐานใหม่ในการจัดการเรียนการสอน

โครงสร้างแบบฟอร์มรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

โดยทั่วไป รายงานการวิจัยในชั้นเรียนจะมีโครงสร้างหลัก 8 ส่วน ได้แก่

1. ชื่อเรื่องการวิจัย

ควรตั้งชื่อเรื่องให้กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น สะท้อนถึงประเด็นหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น

  • การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมอ่านจับคู่ภาพ
  • การส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ในวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

2. ที่มาและความสำคัญของปัญหา

ส่วนนี้อธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงเลือกปัญหานี้ อาจอ้างอิงจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ หรือจากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน โดยควรใช้สถิติหรือผลการประเมินจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น ผลสอบปลายภาคปีการศึกษา 2566 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเขียนเรียงความไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50

3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย

ระบุเป้าหมายหลักของการวิจัย โดยแบ่งเป็น

  • วัตถุประสงค์ทั่วไป เช่น เพื่อปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน
  • วัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน

4. สมมติฐานการวิจัย

ถ้ามี อาจระบุสมมติฐาน เช่น “หากนักเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้สูงขึ้น”

5. วิธีดำเนินการวิจัย

ส่วนนี้เป็นหัวใจสำคัญ โดยควรระบุรายละเอียด ดังนี้

  • กลุ่มตัวอย่าง : ระบุนักเรียนที่เข้าร่วม จำนวน และช่วงอายุ
  • ระยะเวลา : ช่วงเวลาที่ดำเนินการ เช่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
  • เครื่องมือวิจัย : แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสอบถาม
  • การวิเคราะห์ข้อมูล : อธิบายวิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม

6. ผลการวิจัย

นำเสนอข้อมูลที่ได้จากการวิจัย สามารถใช้ตาราง กราฟ หรือรูปภาพประกอบเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น เช่น แสดงผลคะแนนก่อนและหลังการทดลอง พร้อมอธิบายแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

7. สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ

  • สรุปผล : ระบุว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่
  • อภิปรายผล : อธิบายเหตุผลที่ทำให้ผลออกมาเช่นนั้น โดยอ้างอิงทฤษฎีหรือผลงานวิจัยอื่น ๆ
  • ข้อเสนอแนะ : แนะนำแนวทางสำหรับการปรับใช้หรือการพัฒนาต่อไป

8. ภาคผนวก

อาจแนบเอกสาร เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ ใบงาน หรือเอกสารที่ใช้จริงในการวิจัย เพื่อให้รายงานมีความสมบูรณ์

แนวทางการจัดทำแบบฟอร์มรายงานที่ดี

  1. ใช้ภาษาที่ชัดเจนและถูกต้อง : หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่กำกวม หรือภาษาพูด ควรเขียนให้เข้าใจง่าย
  2. จัดลำดับเนื้อหาอย่างเป็นระบบ : เรียงตามลำดับโครงสร้างมาตรฐาน
  3. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล : โดยเฉพาะตัวเลขหรือสถิติ
  4. เพิ่มเติมรูปภาพหรือเอกสารแนบ : เพื่อช่วยให้รายงานดูน่าสนใจและเข้าใจง่าย
  5. ปรับให้สอดคล้องกับสภาพจริงของห้องเรียน : ควรใช้ข้อมูลจริงของนักเรียนเป็นพื้นฐาน

ประโยชน์ของการจัดทำรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

  • ช่วยให้ครูพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
  • สร้างความเข้าใจลึกซึ้งในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
  • สามารถเผยแพร่หรือแบ่งปันเป็น Best Practice ให้ครูคนอื่นได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้
  • เป็นหลักฐานในการประเมินวิทยฐานะ หรือการเลื่อนวิทยฐานะตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ.
  • สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเรียนการสอน

ตัวอย่างรูปแบบแบบฟอร์มสรุป

ชื่อเรื่อง : การพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้น ป.5 โดยใช้เทคนิค Storytelling
ผู้วิจัย : นางสาวครูใจดี สอนเก่ง
โรงเรียน : โรงเรียนบ้านปัญญา
ปีการศึกษา : 2567

บทนำ
นักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ทำให้คะแนนวิชาภาษาไทยไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน การวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการเขียนด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์
  2. เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความสนใจในการเขียน

กลุ่มตัวอย่าง
นักเรียนชั้น ป.5 จำนวน 30 คน

ระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567

วิธีดำเนินการ
จัดกิจกรรมการเล่าเรื่องสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตลอด 8 สัปดาห์ ใช้แบบประเมินก่อนและหลังการสอน

ผลการวิจัย
นักเรียนสามารถเขียนเรื่องได้ยาวขึ้น มีเนื้อหาชัดเจน และคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองเพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 85 คะแนน

สรุปผลและข้อเสนอแนะ
การใช้เทคนิค Storytelling สามารถช่วยให้นักเรียนพัฒนาการเขียนได้ดีขึ้น แนะนำให้ขยายไปใช้ในระดับชั้นอื่น ๆ

การจัดทำแบบฟอร์มรายงานการวิจัยในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่เป็นการสะท้อนกระบวนการพัฒนาการเรียนการสอนของครู แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์วิธีการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์นักเรียนในยุคปัจจุบัน ครูทุกคนสามารถเริ่มต้นพัฒนารายงานการวิจัยของตนเองได้จากการเก็บข้อมูลจริงในห้องเรียน วิเคราะห์อย่างละเอียด และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบรายงานที่อ่านง่ายและเป็นประโยชน์

การเผยแพร่ผลงานวิจัยในชั้นเรียนยังเป็นการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างครูด้วยกัน เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อนักเรียน สังคม และวงการการศึกษาไทยโดยรวม

วิจัยในชั้นเรียน กุญแจสำคัญสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน

การศึกษาในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาวิธีการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ครูสามารถพัฒนาตนเองและยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องคือ “วิจัยในชั้นเรียน” หรือ Classroom Action Research ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการเรียนการสอนและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา

วิจัยในชั้นเรียนไม่ใช่เพียงแค่การทำวิจัยเพื่อปริญญาหรือตำแหน่งทางวิชาการ แต่เป็นกระบวนการที่ครูทุกคนสามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนของตนเอง เป็นการวิจัยที่เกิดจากปัญหาจริง แก้ปัญหาจริง และให้ผลลัพธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทการเรียนการสอน การทำวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ความหมายและแนวคิดของวิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ครูผู้สอนเป็นผู้ดำเนินการเองในห้องเรียนของตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การวิจัยประเภทนี้เกิดจากการที่ครูพบปัญหาหรือต้องการปรับปรุงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในการจัดการเรียนการสอน จึงใช้หลักการและกระบวนการวิจัยเข้ามาช่วยในการหาคำตอบหรือแนวทางการแก้ไข

แนวคิดของวิจัยในชั้นเรียนมีรากฐานมาจากแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ของเคิร์ต เลวิน (Kurt Lewin) ที่เชื่อว่าการวิจัยควรนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงในทางที่ดีขึ้น การวิจัยในชั้นเรียนจึงมีลักษณะเป็นวงจรที่ต่อเนื่อง ประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนคิด

ความแตกต่างสำคัญของวิจัยในชั้นเรียนกับการวิจัยทั่วไปคือ วิจัยในชั้นเรียนเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง ไม่ได้มุ่งหวังให้ได้ผลการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่เน้นการหาแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละห้องเรียน แต่ละโรงเรียน หรือแต่ละกลุ่มนักเรียน

วัตถุประสงค์และความสำคัญของวิจัยในชั้นเรียน

วัตถุประสงค์หลักของวิจัยในชั้นเรียนคือการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล การทำวิจัยในชั้นเรียนช่วยให้ครูสามารถระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนได้อย่างชัดเจน และหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์

ความสำคัญของวิจัยในชั้นเรียนสามารถมองได้จากหลายมิติ ในมิติของครูผู้สอน วิจัยในชั้นเรียนช่วยพัฒนาความเป็นครูมืออาชีพ เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ครูจะได้เรียนรู้วิธีการสังเกตและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้ง และหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

ในมิติของนักเรียน วิจัยในชั้นเรียนส่งผลให้นักเรียนได้รับการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูงขึ้น เนื่องจากครูจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับสไตล์การเรียนรู้และความต้องการของนักเรียน การเรียนการสอนจึงมีความหลากหลายและตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น

ในมิติของสถานศึกษา วิจัยในชั้นเรียนช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาโดยรวม เมื่อครูทุกคนในโรงเรียนทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง จะเกิดเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สถานศึกษาจะกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

ลักษณะและหลักการของวิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการวิจัยประเภทอื่น ลักษณะแรกคือเป็นการวิจัยที่ดำเนินการโดยครูผู้สอนเอง ไม่ใช่นักวิจัยจากภายนอก ครูจึงมีความเข้าใจบริบทและสถานการณ์จริงของห้องเรียนเป็นอย่างดี สามารถระบุปัญหาที่แท้จริงและหาแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้จริง

ลักษณะที่สองคือเป็นการวิจัยเพื่อการปฏิบัติ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการเรียนการสอน ไม่ใช่การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ทางทฤษฎี ดังนั้นผลของการวิจัยจึงต้องสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอนได้ทันที

ลักษณะที่สามคือเป็นการวิจัยที่มีลักษณะเป็นวงจร ไม่มีจุดจบที่ชัดเจน เมื่อแก้ไขปัญหาหนึ่งเสร็จแล้ว อาจพบปัญหาใหม่หรือต้องการปรับปรุงในด้านอื่นต่อไป การทำวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด

หลักการสำคัญของวิจัยในชั้นเรียนประการแรกคือหลักการมีส่วนร่วม ครูผู้สอนต้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยเอง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลแก่นักวิจัยคนอื่น การมีส่วนร่วมนี้จะทำให้ครูรู้สึกเป็นเจ้าของปัญหาและแนวทางการแก้ไข มีแรงจูงใจในการนำผลการวิจัยไปใช้อย่างจริงจัง

หลักการที่สองคือหลักการสะท้อนคิด ครูต้องสะท้อนคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติการสอนของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนการสอน ระหว่างการสอน และหลังการสอน การสะท้อนคิดจะช่วยให้ครูตระหนักถึงปัญหาและพัฒนาแนวคิดในการปรับปรุงการสอน

หลักการที่สามคือหลักการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การทำวิจัยในชั้นเรียนไม่ใช่การหาคำตอบที่ถูกต้องแล้วใช้ไปตลอด แต่เป็นการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียน

การดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนที่ชัดเจน โดยเริ่มจากการวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Acting) การสังเกต (Observing) และการสะท้อนคิด (Reflecting) ซึ่งเป็นวงจรที่ต่อเนื่องและสามารถทำซ้ำได้หลายรอบ

ขั้นตอนแรกคือการวางแผน ครูต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนอย่างชัดเจน วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ศึกษาข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จากนั้นวางแผนการแก้ไขปัญหาหรือการทดลองใช้วิธีการใหม่ ในขั้นตอนนี้ครูต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย เลือกวิธีการดำเนินการ และเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นในการเก็บรวบรวมข้อมูล

ขั้นตอนที่สองคือการปฏิบัติ ครูนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติในการเรียนการสอนจริง อาจเป็นการทดลองใช้วิธีการสอนใหม่ การใช้สื่อการเรียนการสอนใหม่ หรือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ในขั้นตอนนี้ครูต้องปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ขั้นตอนที่สามคือการสังเกต ขณะที่ดำเนินการตามแผน ครูต้องสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ข้อมูลที่เก็บอาจเป็นได้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น คะแนนสอบ จำนวนครั้งที่นักเรียนยกมือตอบคำถาม หรือข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น พฤติกรรมของนักเรียน ความคิดเห็นของนักเรียน หรือบรรยากาศในห้องเรียน

ขั้นตอนสุดท้ายคือการสะท้อนคิด ครูวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ เปรียบเทียบผลที่ได้กับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ประเมินความสำเร็จของการดำเนินการ และพิจารณาว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้าง หากผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจ ครูจะกลับไปวางแผนใหม่และเริ่มวงจรการวิจัยรอบต่อไป

ประเภทของวิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะของปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประเภทแรกคือการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาการเรียนการสอน เช่น ปัญหานักเรียนไม่สนใจเรียน ปัญหานักเรียนไม่ทำการบ้าน หรือปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ การวิจัยประเภทนี้มุ่งเน้นการหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม

ประเภทที่สองคือการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน การวิจัยประเภทนี้มุ่งเน้นการสร้างสรรค์วิธีการสอนใหม่ การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนใหม่ หรือการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ เป็นการวิจัยที่มีลักษณะสร้างสรรค์และมองไปข้างหน้า

ประเภทที่สามคือการวิจัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของวิธีการสอน การวิจัยประเภทนี้เป็นการนำวิธีการสอนที่มีอยู่แล้วมาทดลองใช้ในบริบทใหม่ หรือเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างวิธีการสอนหลายวิธี เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลุ่มนักเรียนหรือเนื้อหาเฉพาะ

ประเภทที่สี่คือการวิจัยเพื่อพัฒนาการประเมินผล การวิจัยประเภทนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องมือหรือวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมและแม่นยำมากขึ้น อาจเป็นการพัฒนาแบบทดสอบใหม่ การใช้การประเมินแบบหลากหลาย หรือการประเมินตามสภาพจริง

เทคนิคและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล

การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญมาก เนื่องจากข้อมูลที่ได้จะเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย ครูสามารถใช้เทคนิคการเก็บข้อมูลได้หลากหลายวิธี ทั้งวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

เทคนิคแรกคือการสังเกต เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ครูทุกคนสามารถใช้ได้ การสังเกตอาจเป็นการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ที่ครูสังเกตขณะที่กำลังสอน หรือการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ที่มีบุคคลอื่นมาช่วยสังเกต การสังเกตควรมีการเตรียมแบบบันทึกการสังเกตที่ชัดเจน ระบุสิ่งที่ต้องการสังเกตและวิธีการบันทึก

เทคนิคที่สองคือการสัมภาษณ์ ครูสามารถสัมภาษณ์นักเรียนเพื่อทราบความคิดเห็น ความรู้สึก และประสบการณ์ในการเรียนรู้ การสัมภาษณ์อาจเป็นแบบมีโครงสร้าง ที่มีคำถามเตรียมไว้ล่วงหน้า หรือแบบไม่มีโครงสร้าง ที่เป็นการสนทนาแบบเปิด การสัมภาษณ์ควรทำในบรรยากาศที่เป็นกันเองเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง

เทคนิคที่สามคือการใช้แบบสอบถาม เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลจากนักเรียนจำนวนมาก แบบสอบถามควรมีคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น มีทั้งคำถามปลายปิดที่ให้เลือกตอบและคำถามปลายเปิดที่ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ

เทคนิคที่สี่คือการวิเคราะห์เอกสาร ครูสามารถวิเคราะห์งานของนักเรียน สมุดบันทึก แบบทดสอบ หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เอกสารให้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง

เทคนิคที่ห้าคือการใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยี ในยุคปัจจุบันครูสามารถใช้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล การบันทึกวิดีโอ การใช้ระบบตอบกลับแบบทันที หรือการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์เพื่อติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน

การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยในชั้นเรียนไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเหมือนการวิจัยทางวิชาการ แต่ต้องเป็นระบบและสามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างชัดเจน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณสามารถใช้สถิติพื้นฐาน เช่น การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือการเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง

เอกสารเป็นไฟล์ Word แก้ไขได้

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด