แนวทางการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) กุญแจสำคัญสู่การเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนทุกคน
ในปัจจุบัน การจัดการศึกษาแบบทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์นักเรียนทุกคน โดยเฉพาะนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษหรือมีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ การพัฒนาแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ Individualized Education Program (IEP) จึงกลายเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยให้การจัดการเรียนรู้ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างแท้จริง
IEP คือเอกสารแผนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยเน้นการวิเคราะห์ศักยภาพ จุดแข็ง และความต้องการพิเศษของนักเรียนแต่ละคน เพื่อกำหนดวิธีการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลที่เหมาะสมที่สุด

ความสำคัญของ IEP ต่อการเรียนรู้
IEP มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักเรียนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม ช่วยลดข้อจำกัดด้านการเรียนรู้ และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ทั้งยังสร้างความร่วมมือระหว่างครู ผู้ปกครอง และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสนับสนุนพัฒนาการของนักเรียนอย่างรอบด้าน
สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ เช่น เด็กที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร การเคลื่อนไหว หรือการรับรู้ การมีแผน IEP ช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและลดความเครียดจากการถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชั้น
องค์ประกอบสำคัญของ IEP
- ข้อมูลพื้นฐานนักเรียน
ประกอบด้วยชื่อ นามสกุล อายุ ระดับชั้น และข้อมูลด้านสุขภาพหรือความต้องการพิเศษที่สำคัญ - การประเมินสภาพปัจจุบัน
ระบุศักยภาพ จุดแข็ง และความบกพร่องในการเรียนรู้ของนักเรียน ครอบคลุมทั้งด้านวิชาการ สังคม อารมณ์ และพฤติกรรม - เป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว
ควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้ และเป็นไปตามความสามารถของนักเรียน เพื่อสร้างแรงจูงใจและความสำเร็จเป็นขั้นตอน - กลยุทธ์และกิจกรรมการเรียนรู้
ออกแบบกิจกรรมและวิธีการสอนที่เหมาะสม รวมถึงการปรับสื่อการเรียนการสอน การปรับวิธีการประเมิน และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอน - การติดตามและประเมินผล
กำหนดวิธีการและระยะเวลาการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงและพัฒนาแผนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของนักเรียน
ขั้นตอนการจัดทำ IEP อย่างเป็นระบบ
การจัดทำ IEP ควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้
- การวิเคราะห์ข้อมูลนักเรียน
ครูและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันเก็บข้อมูลเชิงลึก ทั้งจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และการทดสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน - การประชุมวางแผนร่วมกัน
จัดประชุมกับผู้ปกครอง นักเรียน (หากเหมาะสม) และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและวิธีการดำเนินงาน - การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เฉพาะบุคคล
กำหนดกิจกรรม สื่อ และวิธีการที่สอดคล้องกับศักยภาพและความสนใจของนักเรียน - การนำไปปฏิบัติ
ครูนำแผนไปใช้จริงในห้องเรียน พร้อมปรับตามสถานการณ์และความต้องการของนักเรียนแบบยืดหยุ่น - การติดตามผลและปรับปรุง
จัดการประเมินผลรายเดือนหรือรายภาคเรียน เพื่อพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับการพัฒนาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์ของ IEP ต่อครูและนักเรียน
สำหรับครู การมี IEP ช่วยให้การจัดการเรียนรู้เป็นระบบ สามารถติดตามความก้าวหน้าได้ง่าย และวางแนวทางการสอนที่เหมาะสม ขณะที่นักเรียนได้รับโอกาสเรียนรู้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ตนเอง สร้างความมั่นใจและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
นอกจากนี้ IEP ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง ทำให้เกิดความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาการทั้งที่บ้านและโรงเรียน
ความท้าทายในการจัดทำ IEP
แม้ IEP จะเป็นแนวทางที่ดี แต่ก็มีความท้าทาย เช่น ความพร้อมของบุคลากร งบประมาณ และความเข้าใจในกระบวนการจัดทำ IEP ของครูและผู้ปกครอง ดังนั้น การอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่กัน
แนวทางพัฒนา IEP ให้มีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมระหว่างครู นักจิตวิทยา ผู้ปกครอง และนักเรียน
- ใช้เทคโนโลยีช่วยพัฒนาสื่อการเรียนรู้และการประเมินผล
- จัดอบรมพัฒนาครูเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ IEP อย่างต่อเนื่อง
- สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างโรงเรียน
แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา ช่วยให้นักเรียนทุกคนได้รับโอกาสพัฒนาเต็มศักยภาพ โดยครูจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบ การวางแผน การประเมิน และการปรับปรุง IEP อย่างรอบด้าน เพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและยั่งยืน
การจัดทำ IEP ไม่ใช่แค่การเขียนเอกสาร แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยหัวใจ ความร่วมมือ และการใส่ใจในศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนอย่างแท้จริง หากครูสามารถทำได้สำเร็จ จะเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพและยั่งยืนในอนาคต
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) กุญแจสำคัญสู่การเรียนรู้ที่เท่าเทียมและมีคุณภาพสำหรับเด็กพิเศษ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Individualized Education Program หรือ IEP เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการเฉพาะของตนเอง การจัดทำ IEP ถือเป็นสิทธิพื้นฐานของเด็กพิเศษที่รัฐบาลและหน่วยงานการศึกษาต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีเด็กที่มีความต้องการพิเศษจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ทางสติปัญญา ทางการเรียนรู้ ทางการได้ยิน ทางการมองเห็น ทางออทิสติก และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ เด็กเหล่านี้มีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของตนเอง การจัดทำ IEP จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งในการให้การศึกษาแก่เด็กกลุ่มนี้
ความหมายและความสำคัญของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล คือ เอกสารที่กำหนดเป้าหมายการศึกษา วิธีการจัดการเรียนการสอน การประเมินผล และการบริการสนับสนุนต่างๆ สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคน โดยจัดทำขึ้นเป็นรายบุคคลตามความสามารถ ความต้องการ จุดแข็ง และจุดที่ต้องพัฒนาของเด็กแต่ละคน IEP เป็นแผนที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงและต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการและความก้าวหน้าของเด็ก
ความสำคัญของ IEP นั้นประกอบด้วยหลายประการ ประการแรก IEP ช่วยให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของตนเอง ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ประการที่สอง IEP ช่วยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีแนวทางที่ชัดเจนในการจัดการเรียนการสอนและการให้บริการสนับสนุนแก่เด็ก ประการที่สาม IEP ช่วยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการวางแผนการศึกษาของบุตรหลานและสามารถติดตามความก้าวหน้าได้อย่างใกล้ชิด
หลักการและแนวคิดพื้นฐานของ IEP
การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลมีหลักการและแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญหลายประการ หลักการแรกคือหลักการของการศึกษาที่เป็นรายบุคคล ซึ่งหมายความว่าการจัดการศึกษาต้องคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคนในด้านความสามารถ ความต้องการ ความสนใจ และรูปแบบการเรียนรู้ การจัดการศึกษาจึงต้องยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน
หลักการที่สองคือหลักการของการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย การจัดทำ IEP ต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่างที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เด็กเอง ผู้ปกครอง ครูผู้สอน ครูการศึกษาพิเศษ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และบุคลากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายจะช่วยให้ IEP มีความครอบคลุมและเหมาะสมกับความต้องการของเด็กมากยิ่งขึ้น
หลักการที่สามคือหลักการของการเรียนรวม หรือ Inclusive Education ซึ่งส่งเสริมให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนร่วมกับเด็กปกติในสภาพแวดล้อมที่น้อยจำกัดที่สุด การเรียนรวมไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กพิเศษได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย แต่ยังช่วยส่งเสริมการยอมรับและความเข้าใจระหว่างเด็กที่มีความแตกต่างกัน
องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายส่วน ส่วนแรกคือข้อมูลพื้นฐานของเด็ก ซึ่งรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติทางการแพทย์ ประวัติการพัฒนา ประวัติการศึกษา และข้อมูลครอบครัว ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทีมงานเข้าใจพื้นฐานและบริบทของเด็กอย่างครอบคลุม
ส่วนที่สองคือผลการประเมินสถานภาพปัจจุบันของเด็ก ซึ่งควรประกอบด้วยการประเมินในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการรู้คิด ด้านภาษาและการสื่อสาร ด้านทักษะชีวิตประจำวัน ด้านสังคมและอารมณ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเด็ก การประเมินควรใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมและแม่นยำ
ส่วนที่สามคือเป้าหมายระยะยาวและเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะยาวเป็นเป้าหมายที่คาดหวังให้เด็กบรรลุได้ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ส่วนเป้าหมายระยะสั้นเป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายทั้งสองระดับต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุได้ เกี่ยวข้องกับความต้องการของเด็ก และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน
ส่วนที่สี่คือกิจกรรมและบริการทางการศึกษา ซึ่งระบุถึงกิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการสอน สื่อการเรียนรู้ และบริการสนับสนุนต่างๆ ที่จะใช้เพื่อช่วยให้เด็กบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ กิจกรรมและบริการเหล่านี้ต้องเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้และความต้องการของเด็ก
ส่วนที่ห้าคือการประเมินผลและการติดตามความก้าวหน้า ซึ่งกำหนดวิธีการประเมินผล เกณฑ์การประเมิน ความถี่ในการประเมิน และผู้รับผิดชอบในการประเมิน การประเมินผลควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องและใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนและบริการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลมีขั้นตอนที่สำคัญหลายขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือการเก็บรวบรวมข้อมูลและการประเมินเด็ก ซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญมาก ในขั้นตอนนี้ ทีมงานจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้แก่ การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง การสังเกตพฤติกรรมของเด็ก การทดสอบความสามารถด้านต่างๆ และการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง การประเมินควรดำเนินการโดยทีมสหวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ
ขั้นตอนที่สองคือการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ทีมงานจะนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาวิเคราะห์เพื่อหาจุดแข็ง จุดที่ต้องพัฒนา ความต้องการ และศักยภาพของเด็ก การวิเคราะห์ข้อมูลต้องทำอย่างรอบคอบและละเอียด เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมและแม่นยำของเด็ก
ขั้นตอนที่สามคือการกำหนดเป้าหมาย ทีมงานจะร่วมกันกำหนดเป้าหมายระยะยาวและเป้าหมายระยะสั้นตามผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป้าหมายที่กำหนดต้องมีความเป็นไปได้ เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก และสอดคล้องกับความต้องการของเด็กและครอบครัว การกำหนดเป้าหมายต้องเป็นไปอย่างมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองและเด็กเอง
ขั้นตอนที่สี่คือการวางแผนกิจกรรมและบริการ ทีมงานจะออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน เลือกวิธีการสอนที่เหมาะสม กำหนดสื่อการเรียนรู้ และวางแผนบริการสนับสนุนต่างๆ เพื่อช่วยให้เด็กบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ การวางแผนต้องคำนึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ ความสนใจ และความต้องการของเด็ก
ขั้นตอนที่ห้าคือการจัดทำเอกสาร IEP ทีมงานจะนำข้อมูลและแผนที่ได้จากขั้นตอนก่อนหน้ามาจัดทำเป็นเอกสาร IEP ที่สมบูรณ์ เอกสารต้องมีความชัดเจน ครอบคลุม และง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ เอกสาร IEP ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจและการยินยอมจากผู้ปกครอง
ขั้นตอนที่หกคือการนำไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะต้องนำ IEP ไปปฏิบัติอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ การนำไปปฏิบัติต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างทุกฝ่าย และมีการติดตามประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
บทบาทและหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำ IEP
การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญแตกต่างกันไป ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ที่รู้จักเด็กดีที่สุด ผู้ปกครองต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับเด็ก มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย และสนับสนุนการปฏิบัติตาม IEP ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองอย่างแข็งขันจะช่วยให้ IEP ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ครูผู้สอนมีบทบาทในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถทางวิชาการของเด็ก การมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายทางการเรียน และการนำ IEP ไปปฏิบัติในห้องเรียน ครูผู้สอนต้องปรับวิธีการสอน สื่อการเรียนรู้ และการประเมินผลให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กตาม IEP
ครูการศึกษาพิเศษมีบทบาทในการประเมินความต้องการพิเศษของเด็ก การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการสอนและการปรับปรุงหลักสูตร และการให้บริการสอนเสริมหรือสอนซ่อมเสริมแก่เด็ก ครูการศึกษาพิเศษยังทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างทีมงานและครอบครัว
นักจิตวิทยาโรงเรียนมีบทบาทในการประเมินความสามารถทางสติปัญญา ทักษะทางสังคม และพฤติกรรมของเด็ก การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการพฤติกรรม และการสนับสนุนด้านจิตใจแก่เด็กและครอบครัว นักจิตวิทยาช่วยให้ทีมงานเข้าใจด้านจิตใจและพฤติกรรมของเด็กได้ดียิ่งขึ้น
บุคลากรทางการแพทย์และการบำบัด เช่น นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด มีบทบาทในการประเมินและให้บริการด้านที่ตนเชี่ยวชาญ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปรับสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ช่วย และการฝึกทักษะเฉพาะด้านแก่เด็ก
ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทในการสนับสนุนนโยบาย การจัดสรรทรัพยากร และการกำกับดูแลการนำ IEP ไปปฏิบัติ ผู้บริหารต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการศึกษาพิเศษและการทำงานเป็นทีม
การประเมินและติดตามผลการปฏิบัติตาม IEP
การประเมินและติดตามผลเป็นองค์ประกอบสำคัญของ IEP ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การประเมินก่อนการจัดการศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผน การประเมินระหว่างการจัดการศึกษา เพื่อติดตามความก้าวหน้าและปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน และการประเมินหลังการจัดการศึกษา เพื่อประเมินผลการบรรลุเป้าหมาย
การประเมินต้องใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การทดสอบ การสัมภาษณ์ การบันทึกพฤติกรรม และการรวบรวมผลงานของเด็ก เครื่องมือการประเมินต้องเหมาะสมกับลักษณะความพิการและความสามารถของเด็ก การประเมินควรเน้นที่ความก้าวหน้าของเด็กเมื่อเทียบกับตัวเด็กเอง มากกว่าการเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น
ข้อมูลจากการประเมินต้องได้รับการวิเคราะห์และนำมาใช้ในการปรับปรุง IEP หากผลการประเมินแสดงให้เห็นว่าเด็กมีความก้าวหน้าตามเป้าหมาย ทีมงานอาจเพิ่มความท้าทายหรือขยายขอบเขตการเรียนรู้ หากผลการประเมินแสดงให้เห็นว่าเด็กไม่มีความก้าวหน้าตามที่คาดหวัง ทีมงานต้องทบทวนและปรับปรุงวิธีการสอน กิจกรรม หรือบริการสนับสนุน
การติดตามความก้าวหน้าควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการประชุมทบทวน IEP อย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นตามความจำเป็น การประชุมทบทวนควรมีการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีการบันทึกผลการประชุมและการตัดสินใจที่สำคัญไว้เป็นหลักฐาน
ความท้าทายและอุปสรรคในการจัดทำ IEP
การจัดทำและปฏิบัติตาม IEP มีความท้าทายและอุปสรรคหลายประการ ความท้าทายแรกคือการขาดความรู้ความเข้าใจของบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำและใช้ IEP บุคลากรหลายคนยังไม่มีความรู้ที่เพียงพอในการประเมินความต้องการพิเศษ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม และการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ
ความท้าทายที่สองคือการขาดแคลนทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวก โรงเรียนหลายแห่งยังไม่มีอุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยีช่วยที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพให้เหมาะสมกับเด็กพิเศษยังมีข้อจำกัดมาก