สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
เผยแพร่ ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดย คุณครูชลิดา กิจธรรมาภิรักษ์

ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการศึกษา
การพัฒนาวิชาชีพครูในปัจจุบันถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลิ่อนตำแหน่งจากครูสู่ครูชำนาญการซึ่งต้องอาศัยข้อตกลงในการพัฒนางานหรือ Performance Agreement (PA) เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินและพัฒนาศักยภาพของข้าราชการครู ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตในสายอาชีพและการได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามความสามารถ
ความเป็นมาและความสำคัญของ Performance Agreement
Performance Agreement หรือ PA เป็นระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ข้าราชการครูมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
ระบบ PA นี้เริ่มมีการนำมาใช้ในหน่วยงานราชการตั้งแต่ปี พศ 2553 และได้มีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เหมาะสมกับลักษณะงานของข้าราชการครู โดยเฉพาะในด้านการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และการบริการวิชาการแก่ชุมชน
สำหรับตำแหน่งครูที่ต้องการเลื่อนเป็นครูชำนาญการ การมี PA ที่มีประสิทธิภาพจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จในการประเมิน เนื่องจาก PA จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวางแผน การดำเนินงาน และการประเมินผลการทำงานของครูในมิติต่างๆ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพครู
โครงสร้างและองค์ประกอบของ Performance Agreement
Performance Agreement สำหรับตำแหน่งครูชำนาญการประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน คือ การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม แต่ละส่วนจะมีน้ำหนักการประเมินที่แตกต่างกันตามลักษณะของงานและความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษา
ในส่วนของการจัดการเรียนการสอนซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของครู จะมีน้ำหนักการประเมินสูงสุดประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ของคะแนนรวม โดยจะประเมินจากการวางแผนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล การใช้สื่อและเทคโนโลยี รวมถึงการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล
การพัฒนาตนเองและวิชาชีพจะมีน้ำหนักประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ครอบคลุมการศึกษาต่อ การฝึกอบรม การทำวิจัยในชั้นเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการ และการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับความรู้ความสามารถของตนเอง
การจัดทำเป้าหมายการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ
การจัดทำเป้าหมายใน PA ต้องยึดหลัก SMART Goals ที่ประกอบด้วยความเฉพาะเจาะจง (Specific) ความสามารถในการวัดได้ (Measurable) ความสามารถในการบรรลุผล (Achievable) ความสอดคล้องกับบริบท (Relevant) และความชัดเจนเรื่องเวลา (Time-bound) เพื่อให้การประเมินผลมีความยุติธรรมและสะท้อนผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง
สำหรับการจัดการเรียนการสอน เป้าหมายอาจกำหนดเป็น การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในรายวิชาที่สอน การลดจำนวนนักเรียนที่มีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ หรือการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก
ในด้านการพัฒนาตนเอง เป้าหมายอาจเป็นการเข้าร่วมการฝึกอบรมจำนวน 20 ชั่วโมงต่อปี การทำวิจัยในชั้นเรียน 1 เรื่องต่อปี การพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน หรือการนำเสนอผลงานในเวทีวิชาการระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ
การบริการวิชาการแก่ชุมชนอาจกำหนดเป้าหมายเป็นการจัดโครงการอบรมให้กับผู้ปกครอง การเป็นวิทยากรในกิจกรรมของชุมชน การให้คำปรึกษาทางวิชาการ หรือการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
สำหรับการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม เป้าหมายอาจเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น การอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน การจัดนิทรรศการทางวัฒนธรรม หรือการสอดแทรกเนื้อหาด้านศิลปวัฒนธรรมในการจัดการเรียนการสอน
กระบวนการประเมินและการให้คะแนน
การประเมิน Performance Agreement จะดำเนินการโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครูพี่เลี้ยง และผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและเป็นธรรม
กระบวนการประเมินจะเริ่มต้นจากการประเมินตนเอง โดยครูผู้ขอรับการประเมินจะต้องจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานตาม PA ที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเสนอห�ลักฐานและเอกสารประกอบการประเมิน เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ ผลงานของนักเรียน สื่อการสอน ใบรับรองการฝึกอบรม ผลงานวิจัย และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การสังเกตการสอนเป็นส่วนสำคัญของการประเมิน โดยคณะกรรมการจะเข้าไปสังเกตการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนจริงอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อประเมินทักษะการสอน การจัดกิจกรรม การใช้สื่อ การบริหารจัดการชั้นเรียน และปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
การสัมภาษณ์เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญ โดยคณะกรรมการจะสัมภาษณ์ครูเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษา วิธีการแก้ปัญหาในการสอน การพัฒนาตนเอง และแผนการทำงานในอนาคต รวมถึงการสัมภาษณ์นักเรียน ผู้ปกครอง และเพื่อนร่วมงานเพื่อประกอบการพิจารณา
การให้คะแนนจะใช้ระบบ 5 ระดับ ได้แก่ ดีเด่น (91-100 คะแนน) ดีมาก (81-90 คะแนน) ดี (71-80 คะแนน) พอใช้ (61-70 คะแนน) และต้องปรับปรุง (ต่ำกว่า 61 คะแนน) โดยครูจะต้องได้คะแนนระดับดีขึ้นไปจึงจะผ่านเกณฑ์การประเมิน
เทคนิคการเขียน PA ให้ได้ผลสูงสุด
การเขียน Performance Agreement ที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง รวมถึงบริบทของโรงเรียนและชุมชนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนา การกำหนดเป้าหมายควรมีความท้าทายแต่สามารถบรรลุผลได้จริง และมีการเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายต่างๆ ให้เกิดการบูรณาการ
ในการเขียนเป้าหมายการจัดการเรียนการสอน ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายนักเรียน วิธีการสอน สื่อและเทคโนโลยีที่จะใช้ วิธีการวัดและประเมินผล และตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน เช่น “พัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น ป 3 โดยใช้กิจกรรม Reading Workshop ให้มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2.1 เป็น 2.8 ภายในภาคเรียนที่ 2”
การเขียนเป้าหมายการพัฒนาตนเองควรเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนหรือการยกระดับความรู้ในสาขาวิชาที่สอน เช่น “เข้าร่วมการฝึกอบรมเรื่องการใช้เทคโนโลยี AR/VR ในการสอนวิทยาศาสตร์ 40 ชั่วโมง และนำไปประยุกต์ใช้ในการสอนหน่วยระบบสุริยะเพื่อเพิ่มความเข้าใจของนักเรียนจากร้อยละ 65 เป็นร้อยละ 85”
เป้าหมายด้านการบริการวิชาการควรสะท้อนความเป็นผู้นำทางวิชาการและการเป็นประโยชน์ต่อชุมชน เช่น “จัดโครงการโรงเรียนผู้ปกครองร่วมใจพัฒนานักเรียน โดยอบรมผู้ปกครอง 50 คน เรื่องการช่วยลูกทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้นักเรียนส่งการบ้านตรงเวลาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20”
การเตรียมเอกสารและหลักฐานประกอบ
การเตรียมเอกสารหลักฐานถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการประเมิน PA ให้สำเร็จ เอกสารที่ต้องเตรียมประกอบด้วยหลักฐานการปฏิบัติงานในแต่ละด้าน การจัดเก็บควรเป็นระบบและง่ายต่อการตรวจสอบ พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างหลักฐานกับเป้าหมายใน PA
สำหรับด้านการจัดการเรียนการสอน หลักฐานที่สำคัญได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่แสดงการใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย การใช้สื่อและเทคโนโลยี การวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ผลงานของนักเรียนที่แสดงการพัฒนา ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอน แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน และรูปภาพกิจกรรมการเรียนการสอนที่สะท้อนบรรยากาศการเรียนรู้
หลักฐานด้านการพัฒนาตนเองควรรวบรวมใบรับรองการฝึกอบรม ใบรับรองการศึกษาต่อ รายงานการวิจัยในชั้นเรียน บทความทางวิชาการ ผลงานนวัตกรรม การนำเสนอในเวทีวิชาการ และแผนการพัฒนาตนเองระยะยาว รวมถึงการสะท้อนการเรียนรู้จากกิจกรรมพัฒนาที่เข้าร่วม
สำหรับการบริการวิชาการ ควรจัดเก็บหลักฐานการจัดกิจกรรมอบรม การให้คำปรึกษา การเป็นวิทยากร การร่วมงานกับชุมชน ผลการประเมินจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม และผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับชุมชน
หลักฐานด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น การผลิตสื่อหรือการสอดแทรกเนื้อหาวัฒนธรรมในการเรียนการสอน และการสร้างเครือข่ายด้านศิลปวัฒนธรรม
ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข
ปัญหาที่พบบ่อยในการจัดทำ PA คือการกำหนดเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนหรือไม่สามารถวัดผลได้ เช่น “พัฒนานักเรียนให้มีคุณธรรม” หรือ “สร้างความสุขในการเรียนรู้” ซึ่งขาดตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจง แนวทางแก้ไขคือการปรับเป้าหมายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น “พัฒนาคุณธรรมด้านความมีวินัยของนักเรียนโดยวัดจากการมาโรงเรียนตรงเวลาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 90”
การขาดความเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายต่างๆ ก็เป็นปัญหาที่พบบ่อย ครูมักกำหนดเป้าหมายแต่ละด้านแยกกันโดยไม่เห็นการบูรณาการ แนวทางแก้ไขคือการหาจุดเชื่อมต่อระหว่างการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาตนเอง และการบริการวิชาการ เช่น การพัฒนานวัตกรรมการสอนที่เป็นการพัฒนาตนเองและสามารถนำไปถ่ายทอดให้ครูคนอื่นหรือชุมชนได้
การขาดการติดตามและประเมินผลระหว่างดำเนินการเป็นปัญหาที่ส่งผลให้ไม่สามารถปรับปรุงการดำเนินงานทันเวลา แนวทางแก้ไขคือการกำหนด Milestone หรือจุดตรวจสอบระหว่างทาง เช่น การประเมินผลทุก 3 เดือน การปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชา และการปรับปรุงแผนการดำเนินงานตามความเหมาะสม
ปัญหาการจัดเก็บหลักฐานไม่เป็นระบบทำให้เสียเวลาในการค้นหาและยากต่อการตรวจสอบ แนวทางแก้ไขคือการสร้างระบบการจัดเก็บที่เป็นมาตรฐาน เช่น การแยกไฟล์ตามด้านและช่วงเวลา การใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดเก็บ และการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
ประโยชน์และผลกระทบของ PA ต่อการพัฒนาวิชาชีพ
การมี Performance Agreement ที่ดีจะส่งผลประโยชน์หลายประการต่อการพัฒนาวิชาชีพครู ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว PA ช่วยให้ครูมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน สามารถวางแผนการพัฒนาตนเองได้อย่างเป็นระบบ และมีแรงจูงใจในการยกระดับการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
ในด้านการจัดการเรียนการสอน PA จะผลักดันให้ครูออกแบบการสอนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนเป็นหลัก ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย พัฒนาสื่อและนวัตกรรมการเรียนการสอน และประเมินผลอย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น
การพัฒนาตนเองผ่าน PA จะช่วยให้ครูได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกับครูคนอื่น การทำวิจัยในชั้นเรียนจะช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
การบริการวิชาการผ่าน PA จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ทำให้การศึกษามีความหมายและเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงมากขึ้น ครูจะได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาและเป็นที่พึ่งพาของชุมชน
ในระยะยาว PA จะช่วยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ครูจะมีความมั่นใจในการปฏิบัติงาน มีภาวะผู้นำทางวิชาการ และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับครูรุ่นใหม่
ตัวอย่างไฟล์ ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement : PA) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566


