สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ รายงานการนำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการจัดทำแบบรายงานการนำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ รายงานการนำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
เผยแพร่ผลงานวิชาการ รายงานการนำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร โดย คุณครูพรพรรณ ปิ่นเงิน

นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เส้นทางสู่การแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร
การศึกษาในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการศึกษาทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ หรือ Learning Loss ได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญที่ครูผู้สอนและสถานศึกษาต้องเผชิญ โดยเฉพาะในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ต้องการการปฏิบัติจริงและการทดลองเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง
การจัดการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับข้อมูลอย่างเดียว แต่เป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ผ่านการคิด การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง
ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องการการสำรวจ การทดลอง และการค้นหาคำตอบด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบท่องจำหรือฟังเพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถสร้างความเข้าใจที่แท้จริงได้ โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญในวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการสังเกต การทดลอง และการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในช่วงวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง และชอบลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง การจัดการเรียนรู้เชิงรุกจึงเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กในวัยนี้ ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง และสามารถเชื่อมโยงความรู้กับชีวิตจริงได้อย่างมีความหมาย
การจัดการเรียนรู้เชิงรุกยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ การสื่อสาร และการนำเสนอผลงาน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ผู้เรียนต้องการในอนาคต
สภาพปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์
ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนมีความรู้และทักษะลดลงจากเดิม หรือไม่สามารถเรียนรู้ได้ตามเกณฑ์ที่คาดหวัง สาเหตุสำคัญในช่วงที่ผ่านมามาจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนจากการเรียนในห้องเรียนแบบปกติเป็นการเรียนออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนขาดโอกาสในการปฏิบัติจริง การทดลอง และการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู
ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ผู้เรียนจำเป็นต้องได้สัมผัสกับวัสดุจริง สังเกตการเปลี่ยนแปลงด้วยประสาทสัมผัส และได้ทำการทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานของตนเอง การเรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนประสบการณ์เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์
ผลจากการสำรวจพบว่า นักเรียนหลายคนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสาร บางคนคิดว่าเมื่อน้ำแข็งละลายแล้วจะหายไป บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำที่ต้มจึงกลายเป็นไอน้ำ หรือบางคนไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเทียนไขที่จุดไฟแล้วจึงหดเล็กลงและหายไป ความเข้าใจที่ผิดเหล่านี้หากไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ปัญหาอื่นที่พบคือ นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ เนื่องจากรู้สึกว่าวิชานี้ยากเกินไป ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หรือไม่เห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ การขาดแรงจูงใจนี้ส่งผลให้ผู้เรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่กล้าถามคำถาม และไม่อยากลงมือปฏิบัติกิจกรรม
วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเริ่มต้นจากการออกแบบกิจกรรมที่ตอบสนองรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียน บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการมองเห็น บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการได้ยิน และบางคนเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือทำ ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้จึงควรมีทั้งกิจกรรมการสังเกต การทดลอง การอภิปราย การนำเสนอ และการสร้างผลงาน
สำหรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร กิจกรรมที่ได้ผลดีคือการให้นักเรียนสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น การละลายของน้ำตาล การเดือดของน้ำ การแข็งตัวของน้ำ การไหม้ของเทียนไข หรือการเน่าเสียของอาหาร จากนั้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามและสร้างสมมติฐานว่าเหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ก็เป็นส่วนสำคัญ การใช้วิดีโอแสดงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช้าๆ หรือเร็วเกินไป การใช้โปรแกรมจำลองสถานการณ์ หรือการใช้แอปพลิเคชันที่ให้ผู้เรียนได้ทดลองเสมือนจริง ล้วนช่วยเสริมความเข้าใจและทำให้การเรียนรู้น่าสนใจมากขึ้น
การใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน คือ การตั้งคำถาม การสร้างสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ผล และการสรุปผล
ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ครูสามารถเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น การที่เสื้อผ้าที่ตากแห้งหรือการที่น้ำในแก้วหายไป จากนั้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับน้ำ” “น้ำไปไหน” หรือ “ทำไมเสื้อผ้าจึงแห้ง”
การสร้างสมมติฐานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยพัฒนาความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องกลัวผิด เพราะการทำผิดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ หลังจากนั้นจึงให้ผู้เรียนออกแบบการทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานของตนเอง
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก การแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ และให้แต่ละคนในกลุ่มมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกคน พัฒนาทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม
ในกิจกรรมการทดลองเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร แต่ละกลุ่มสามารถรับผิดชอบการทดลองที่แตกต่างกันไป เช่น กลุ่มหนึ่งทดลองการละลายของเกลือในน้ำ กลุ่มหนึ่งทดลองการเดือดของน้ำ และอีกกลุ่มหนึ่งทดลองการแข็งตัวของน้ำ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทดลองและแลกเปลี่ยนความรู้กัน
การมอบหมายบทบาทที่หลากหลายในกลุ่ม เช่น ผู้จดบันทึก ผู้ควบคุมเวลา ผู้นำเสนอ และผู้สรุปผล ช่วยให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสพัฒนาทักษะที่แตกต่างกัน และเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
การประเมินผลแบบหลากหลาย
การประเมินผลในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไม่ควรจำกัดเฉพาะการทดสอบด้วยข้อสอบเท่านั้น แต่ควรมีการประเมินที่หลากหลาย เช่น การประเมินจากการปฏิบัติ การประเมินจากผลงาน การประเมินจากการนำเสนอ และการประเมินตนเอง
การใช้รูบริก หรือเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน ช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งใดที่ครูคาดหวัง และสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเป็นระบบ รูบริกควรครอบคลุมทั้งความรู้เนื้อหา ทักษะกระบวนการ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์
การประเมินระหว่างเรียนหรือการประเมินเพื่อการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนได้ทันท่วงที การให้ข้อมูลป้อนกลับที่สร้างสรรค์และเฉพาะเจาะจงช่วยให้นักเรียนทราบจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนา
กลยุทธ์การนำไปใช้ในห้องเรียน
การเตรียมความพร้อมของครู
ครูผู้สอนเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่ประสบความสำเร็จ การเตรียมความพร้อมของครูจึงเป็นสิ่งจำเป็น ครูควรมีความรู้เนื้อหาที่ลึกซึ้ง เข้าใจหลักการและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
ครูจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้ความรู้เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ครูต้องรู้จักการตั้งคำถามที่กระตุ้นการคิด การให้ข้อมูลป้อนกลับที่เหมาะสม และการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้
การพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งสำคัญ ครูควรสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น โปรแกรมการนำเสนอ แอปพลิเคชันการจำลอง หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อเสริมการจัดการเรียนการสอน
การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้มีผลต่อประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมาก ห้องเรียนควรมีการจัดที่นั่งที่ยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะกิจกรรม เช่น การจัดที่นั่งเป็นกลุ่ม การจัดที่นั่งเป็นรูปตัวยู หรือการจัดพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหว
การเตรียมอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ควรมีวัสดุสำหรับการทดลอง เช่น น้ำแข็ง เกลือ น้ำตาล เทียนไข ไฟแช็ก แก้วน้ำ ช้อนคน และเทอร์โมมิเตอร์ รวมถึงเครื่องมือวัดและบันทึกข้อมูล
การจัดมุมการเรียนรู้ต่างๆ เช่น มุมการทดลอง มุมการค้นคว้า มุมการนำเสนอ และมุมการสะท้อนผล ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่กำลังทำ
การบริหารจัดการเวลา
การจัดการเรียนรู้เชิงรุกต้องการการบริหารจัดการเวลาที่ดี เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ต้องการเวลามากกว่าการเรียนแบบบรรยาย ครูควรวางแผนการจัดการเรียนการสอนล่วงหน้า กำหนดเวลาสำหรับแต่ละกิจกรรมอย่างชัดเจน และเตรียมกิจกรรมสำรองไว้สำหรับกรณีที่เวลาเหลือ
การแบ่งชั้นเรียนเป็นช่วงๆ ช่วยให้ผู้เรียนไม่เหนื่อยล้าและสามารถรักษาความสนใจได้ตลอดเวลา เช่น เริ่มต้นด้วยกิจกรรมกระตุ้นความสนใจ 10 นาที ตามด้วยการทดลองในกลุ่ม 25 นาที และจบด้วยการสรุปและการสะท้อนผล 10 นาที
ผลลัพธ์และประโยชน์ที่ได้รับ
การพัฒนาความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร
จากการนำวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกมาใช้ พบว่า นักเรียนมีความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสารเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ผู้เรียนสามารถแยกแยะได้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดเป็นการเปลี่ยนสถานะ และการเปลี่ยนแปลงใดเป็นการเกิดสารใหม่
นักเรียนสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง เช่น การที่เสื้อผ้าแห้งเป็นเพราะน้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแก็ส การที่น้ำแข็งละลายเป็นเพราะได้รับความร้อน หรือการที่เทียนไขหดเล็กลงเป็นเพราะขี้ผึ้งเปลี่ยนสถานะและเกิดการเผาไหม้
ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากการท่องจำ แต่เกิดจากการสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านการสังเกต การทดลอง และการอภิปราย ทำให้ความเข้าใจมีความคงทนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
ตัวอย่างไฟล์ รายงานการนำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร



