สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการจัดทำหน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ตามบริบทของห้องเรียน ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

แจกปกฟรี แก้ไขได้ ชุด หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ไฟล์ Power Point แก้ไขได้ โดยห้องพักครูปกประเมิน

การวิจัยในชั้นเรียน เส้นทางสู่การพัฒนาการเรียนการสอนที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ

การวิจัยในชั้นเรียนถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย ในยุคที่การศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและการแข่งขันในเวทีโลก ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะและความรู้ในการทำวิจัยเพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การวิจัยในชั้นเรียนไม่เพียงแต่ช่วยให้ครูเข้าใจปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียนและท้องถิ่น

ความหมายและความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน

การวิจัยในชั้นเรียน หรือที่เรียกว่า Classroom Action Research เป็นกระบวนการวิจัยที่ครูผู้สอนดำเนินการในชั้นเรียนของตนเองเพื่อศึกษา วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาการเรียนการสอนที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การวิจัยประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะคือเป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นจากปัญหาจริงในชั้นเรียน ดำเนินการโดยครูผู้สอนเองหรือร่วมกับผู้อื่น และมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติการสอนให้ดีขึ้น

ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียนมีหลายประการ ประการแรก ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถระบุปัญหาการเรียนการสอนได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ เมื่อครูมีความเข้าใจในปัญหาที่แท้จริงแล้ว จะสามารถหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและตรงจุดได้มากกว่าการแก้ไขปัญหาแบบลุ่มๆ ดอนๆ ประการที่สอง การวิจัยในชั้นเรียนช่วยส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะกระบวนการวิจัยต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้า การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะทำให้ครูมีความรู้และทักษะที่เพิ่มขึ้น

ประการที่สาม การวิจัยในชั้นเรียนช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวมของสถานศึกษา เมื่อครูแต่ละคนทำวิจัยในชั้นเรียนของตนเองและนำผลการวิจัยมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน จะเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ทางการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาทั้งหมด ประการสุดท้าย การวิจัยในชั้นเรียนช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีฐานความรู้ที่มั่นคงและเชื่อถือได้ แทนที่จะเป็นการสอนที่อาศัยประสบการณ์หรือการเดาเท่านั้น

หลักการและแนวคิดพื้นฐานของการวิจัยในชั้นเรียน

การวิจัยในชั้นเรียนมีหลักการและแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญหลายประการที่ครูผู้สอนควรเข้าใจก่อนเริ่มดำเนินการวิจัย หลักการแรกคือหลักการมีส่วนร่วม การวิจัยในชั้นเรียนต้องให้ครูผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้วิจัยหลัก ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้ความร่วมมือกับนักวิจัยจากภายนอก ครูต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการวิจัย ตั้งแต่การกำหนดปัญหาวิจัย การออกแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการนำผลการวิจัยไปใช้

หลักการที่สองคือหลักการแก้ไขปัญหา การวิจัยในชั้นเรียนมิใช่การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีใหม่หรือเพื่อความรู้ในเชิงวิชาการเท่านั้น แต่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน ดังนั้น ทุกขั้นตอนของการวิจัยจึงต้องมุ่งไปสู่การหาทางออกที่เป็นไปได้และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง หลักการที่สามคือหลักการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดจบ เมื่อแก้ไขปัญหาหนึ่งได้แล้วอาจจะเกิดปัญหาใหม่หรือพบว่ายังมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม ครูจึงต้องมีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่องเป็นวงจรสไปรัล

แนวคิดพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งคือแนวคิดเรื่องการสะท้อนคิด หรือ Reflection ครูผู้สอนต้องมีการสะท้อนคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติการสอนของตนเองอย่างสม่ำเสมอ การสะท้อนคิดนี้จะช่วยให้ครูตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เข้าใจสาเหตุของปัญหา และคิดหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม การสะท้อนคิดสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การเขียนบันทึกการสอน การสนทนากับเพื่อนครู การใช้วิดีโอบันทึกการสอนมาดูย้อนหลัง หรือการใช้แบบสอบถามความพึงพอใจจากนักเรียน

แนวคิดอีกประการหนึ่งคือแนวคิดเรื่องการเรียนรู้จากการปฏิบัติ หรือ Learning by Doing การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านการปฏิบัติจริง ครูจะได้เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก จากการปรับปรุงวิธีการสอน และจากการสังเกตผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน การเรียนรู้ลักษณะนี้จะทำให้ครูมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการวิจัยเป็นทีม หรือ Collaborative Research แม้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนจะเป็นการวิจัยที่ครูดำเนินการในชั้นเรียนของตนเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าครูต้องทำงานคนเดียว การทำงานร่วมกันกับครูคนอื่นๆ ผู้บริหารโรงเรียน หรือนักวิจัยจากภายนอก จะช่วยให้การวิจัยมีคุณภาพมากขึ้น มีมุมมองที่หลากหลาย และได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์

ประเภทและรูปแบบของการวิจัยในชั้นเรียน

การวิจัยในชั้นเรียนสามารถจำแนกประเภทและรูปแบบได้หลายวิธี การจำแนกแบบแรกเป็นการจำแนกตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน และการวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอน การวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทันทีในชั้นเรียน เช่น ปัญหานักเรียนไม่สนใจเรียน ปัญหานักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหา หรือปัญหาการจัดการชั้นเรียน

การวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์วิธีการสอนใหม่ๆ หรือการปรับปรุงวิธีการสอนเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนแบบใหม่ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสอน หรือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ ส่วนการวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการศึกษาว่าวิธีการสอนที่ใช้อยู่นั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด มีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร และควรปรับปรุงอย่างไร

การจำแนกประเภทแบบที่สองเป็นการจำแนกตามขอบเขตของการวิจัย ได้แก่ การวิจัยในระดับชั้นเรียน การวิจัยในระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการวิจัยในระดับสถานศึกษา การวิจัยในระดับชั้นเรียนจะมีขอบเขตจำกัดอยู่ในชั้นเรียนเดียวหรือกลุ่มนักเรียนเดียว ครูจะทำวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนเองเท่านั้น การวิจัยในระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้จะมีขอบเขตกว้างขึ้น โดยอาจจะเป็นการวิจัยที่ครูในกลุ่มสาระเดียวกันร่วมกันทำ หรือเป็นการวิจัยที่ส่งผลต่อการเรียนการสอนทั้งกลุ่มสาระ

การวิจัยในระดับสถานศึกษาจะมีขอบเขตครอบคลุมทั้งโรงเรียน เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย การบริหารจัดการ หรือปัญหาที่ส่งผลต่อนักเรียนทั้งโรงเรียน การวิจัยประเภทนี้มักจะต้องมีการประสานงานระหว่างครูหลายคน หรือระหว่างครูกับผู้บริหารโรงเรียน

การจำแนกรูปแบบของการวิจัยในชั้นเรียนยังสามารถจำแนกตามวิธีการดำเนินการวิจัยได้เป็นหลายรูปแบบ รูปแบบแรกคือการวิจัยแบบวงจรเดียว เป็นการวิจัยที่มีการวางแผน ปฏิบัติ สังเกต และสะท้อนผลเพียงรอบเดียว เหมาะกับปัญหาที่ไม่ซับซ้อนมากนักและสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้น รูปแบบที่สองคือการวิจัยแบบหลายวงจร เป็นการวิจัยที่มีการทำซ้ำหลายรอบ แต่ละรอบจะมีการปรับปรุงจากรอบก่อนหน้า เหมาะกับปัญหาที่ซับซ้อนหรือต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

รูปแบบที่สามคือการวิจัยแบบมีส่วนร่วม เป็นการวิจัยที่ให้นักเรียน ผู้ปกครอง หรือบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการวิจัย ไม่ใช่เป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น การมีส่วนร่วมนี้จะช่วยให้การวิจัยมีความสมจริงมากขึ้นและผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบสุดท้ายคือการวิจัยแบบผสมผสาน เป็นการวิจัยที่ใช้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้หลายวิธีในการเก็บรวบรวมข้อมูล และอาจจะมีการร่วมมือกับนักวิจัยจากภายนอก การวิจัยรูปแบบนี้จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและลึกซึ้งมากขึ้น

ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียน

การดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นระบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักได้ดังนี้ ขั้นตอนแรกคือการระบุและกำหนดปัญหา ครูผู้สอนต้องสังเกตและวิเคราะห์สถานการณ์ในชั้นเรียนเพื่อค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาอาจจะเป็นปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำ ปัญหาด้านพฤติกรรมของนักเรียน ปัญหาด้านการมีส่วนร่วมในการเรียน หรือปัญหาด้านวิธีการสอนที่ไม่เหมาะสม การระบุปัญหาต้องทำอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานสนับสนุน ไม่ใช่การคาดเดาหรือการรู้สึกเท่านั้น

เมื่อระบุปัญหาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ครูต้องหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ วารสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาให้ลึกซึ้งมากขึ้น และเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา การศึกษาค้นคว้านี้จะช่วยให้ครูมีพื้นฐานความรู้ที่มั่นคงในการออกแบบการวิจัย และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทำซ้ำงานวิจัยที่มีคนทำไว้แล้ว

ขั้นตอนที่สามคือการวางแผนการดำเนินการ หรือการออกแบบการวิจัย ในขั้นตอนนี้ ครูต้องกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยให้ชัดเจน เลือกวิธีการวิจัยที่เหมาะสม กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เลือกเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย การวางแผนต้องมีความเป็นไปได้และเหมาะสมกับสภาพของชั้นเรียนและทรัพยากรที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงจริยธรรมในการวิจัย โดยเฉพาะการได้รับความยินยอมจากนักเรียนและผู้ปกครอง

ขั้นตอนที่สี่คือการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ครูจะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ได้ออกแบบไว้มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจริง ในระหว่างการปฏิบัติ ครูต้องมีการบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ปฏิกิริยาของนักเรียนต่อวิธีการสอนใหม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ และการปรับปรุงที่ทำไปเป็นระยะๆ การบันทึกข้อมูลสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การเขียนบันทึกประจำวัน การถ่ายภาพหรือวิดีโอ การใช้แบบสังเกต หรือการสัมภาษณ์

ขั้นตอนที่ห้าคือการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะต้องนำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อดูว่าการดำเนินการที่ทำไปนั้นบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ มีผลกระทบอย่างไร และมีปัญหาหรือข้อจำกัดอะไรบ้าง การวิเคราะห์ข้อมูลอาจใช้วิธีการทางสถิติสำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ หรือใช้การวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ครูควรมองข้อมูลจากหลายมุมมองและพิจารณาทั้งผลที่คาดหวังและผลที่ไม่คาดหวัง

ขั้นตอนที่หกคือการสะท้อนผลและสรุปผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล ครูจะต้องสะท้อนคิดว่าการดำเนินการที่ผ่านมานั้นประสบความสำเร็จเพียงใด มีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไรบ้าง สาเหตุของความสำเร็จหรือความล้มเหลวมาจากอะไร และควรปรับปรุงอย่างไรในครั้งต่อไป การสะท้อนผลนี้ควรทำอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกลาง ไม่ปิดบังหรือบิดเบือนความจริง เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคต

ตัวอย่างไฟล์ หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน


แจกปกฟรี แก้ไขได้ ชุด หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ไฟล์ Power Point แก้ไขได้
แจกปกฟรี แก้ไขได้ ชุด หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ไฟล์ Power Point แก้ไขได้
แจกปกฟรี แก้ไขได้ ชุด หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน ไฟล์ Power Point แก้ไขได้

เอกสารเป็นไฟล์ Power Point แก้ไขได้

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : ห้องพักครูปกประเมิน

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด