สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง ผ่านรูปแบบ PLEARN Model” ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการจัดทำรายงานวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง ผ่านรูปแบบ PLEARN Model”เพื่อเสนอขอรางวัล ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง ผ่านรูปแบบ PLEARN Model” ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
เผยแพร่ผลงานวิชาการ วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง ผ่านรูปแบบ PLEARN Model” โดยคุณครูพีรพัฒน์ วรอัศวโภคิน

การพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยอย่างครบถ้วนด้วย PLEARN Model วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศที่ครูและผู้ปกครองต้องรู้
การพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของเด็กทุกคน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่ผ่านมา มีการพัฒนาวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศในการส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองผ่านรูปแบบ PLEARN Model ซึ่งได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในหลายสถานศึกษาทั่วประเทศไทยด้วยผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
การศึกษาในช่วงปฐมวัยไม่ใช่เพียงแค่การสอนหนังสือหรือการเรียนรู้ตัวอักษรและตัวเลขเท่านั้น แต่เป็นการปูพื้นฐานการพัฒนาในทุกมิติของชีวิต รูปแบบ PLEARN Model ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน โดยเน้นความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างครูและผู้ปกครองในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเติบโตของเด็ก
ความเข้าใจเกี่ยวกับ PLEARN Model และหลักการพื้นฐาน
PLEARN Model เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ P – Participation (การมีส่วนร่วม), L – Learning (การเรียนรู้), E – Exploration (การสำรวจ), A – Activity (กิจกรรม), R – Reflection (การสะท้อนคิด), และ N – Network (เครือข่าย) โดยแต่ละองค์ประกอบมีความสำคัญและเชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียวที่สมบูรณ์
การมีส่วนร่วมหรือ Participation เป็นหัวใจสำคัญของรูปแบบนี้ โดยเน้นการให้เด็ก ครู และผู้ปกครองมีบทบาทร่วมกันในกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่การที่ครูเป็นผู้สอนและเด็กเป็นผู้รับเท่านั้น แต่เป็นการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองที่หลากหลาย
การเรียนรู้หรือ Learning ในรูปแบบ PLEARN Model ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อม เพื่อน ครู และผู้ปกครอง การเรียนรู้นี้เน้นการค้นพบด้วยตนเองและการสร้างความเข้าใจผ่านประสบการณ์ตรง
การสำรวจหรือ Exploration เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการค้นหาคำตอบและสร้างความเข้าใจใหม่ๆ การสำรวจนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความอยากรู้อยากเห็นที่เป็นธรรมชาติของเด็ก
พัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย
การพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และสังคม ด้านสติปัญญา และด้านภาษาและการสื่อสار โดย PLEARN Model ได้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาในทุกด้านอย่างสมดุลและเหมาะสมกับวัยของเด็ก
ด้านการพัฒนาร่างกายของเด็กปฐมวัยในรูปแบบ PLEARN Model เน้นการใช้กิจกรรมที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก ผ่านการเล่นที่มีการวิ่ง เต้น กระโดด การใช้มือในการทำงานฝีมือต่างๆ การสร้างสรรค์งานศิลปะ และการทำกิจกรรมกลางแจ้งร่วมกับผู้ปกครอง เด็กจะได้พัฒนาการใช้ร่างกายอย่างเหมาะสมและมีความแข็งแรงสมวัย
การพัฒนาด้านอารมณ์และสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญมากในช่วงปฐมวัย เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับสังคม การแสดงอารมณ์ที่เหมาะสม และการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น รูปแบบ PLEARN Model ใช้กิจกรรมกลุ่มเป็นหลัก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกัน การแบ่งปัน การรอคอย และการเข้าใจความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น
ด้านสติปัญญาในรูปแบบ PLEARN Model เน้นการพัฒนาความคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา และการคิดสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเล่นของเล่นที่ส่งเสริมการคิด การทำโครงงานเล็กๆ การสำรวจธรรมชาติ และการทดลองง่ายๆ ที่เหมาะสมกับวัย โดยครูและผู้ปกครองจะคอยให้คำแนะนำและกระตุ้นให้เด็กคิดและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
การพัฒนาด้านภาษาและการสื่อสารเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น PLEARN Model ใช้วิธีการสื่อสารที่หลากหลาย เช่น การเล่าเรื่อง การร้องเพลง การสนทนา การแสดงบทบาทสมมติ และการใช้สื่อดิจิทัลอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กได้ฝึกฝนทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนตามความสามารถของแต่ละคน
บทบาทของครูในการนำ PLEARN Model ไปใช้
ครูมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำและผู้ประสานงานในการนำ PLEARN Model ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยครูต้องทำหน้าที่เป็นมากกว่าผู้สอน แต่เป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้สังเกต และผู้ให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละคน
การเตรียมความพร้อมของครูในการใช้ PLEARN Model เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจหลักการและวิธีการของรูปแบบการเรียนการสอนนี้อย่างลึกซึ้ง ครูต้องเปลี่ยนมุมมองจากการเป็น “ผู้รู้” ที่ถ่ายทอดความรู้ไปเป็น “ผู้เรียนรู้ร่วม” ที่ค้นพบและสร้างความรู้ไปพร้อมๆ กับเด็ก การปรับเปลี่ยนบทบาทนี้ต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ครูต้องมีทักษะในการสังเกตและประเมินพัฒนาการของเด็กในทุกด้าน เพื่อจะได้ปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมให้เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของเด็กแต่ละคน การใช้เครื่องมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การบันทึกภาพและเสียง การเก็บผลงานของเด็ก จะช่วยให้ครูเข้าใจพัฒนาการของเด็กได้ดียิ่งขึ้น
การออกแบบกิจกรรมตาม PLEARN Model ต้องคำนึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็ก ครูควรสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น และกล้าที่จะลองผิดลองถูก กิจกรรมที่ออกแบบควรมีความหลากหลาย น่าสนใจ และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
การสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของครู ครูต้องสามารถสื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงความสำคัญของรูปแบบ PLEARN Model และวิธีการที่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาลูกของตนเองที่บ้าน การจัดประชุมผู้ปกครอง การทำกิจกรรมร่วมกัน และการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ จะช่วยสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดี
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในรูปแบบ PLEARN Model
ผู้ปกครองเป็นพันธมิตรสำคัญในการพัฒนาเด็กตามรูปแบบ PLEARN Model เพราะเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันอยู่กับครอบครัว ดังนั้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองจึงมีผลต่อความสำเร็จของการพัฒนาเด็กอย่างมีนัยสำคัญ การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองไม่ได้หมายถึงการเข้ามาสอนหนังสือเท่านั้น แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่บ้าน
การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ PLEARN Model ให้กับผู้ปกครองเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ผู้ปกครองต้องเข้าใจว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยไม่ใช่การแข่งขันหรือการเร่งให้เด็กเรียนรู้เร็วกว่าวัย แต่เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ตามธรรมชาติและความสนใจของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสมในทุกด้านของการพัฒนา
ผู้ปกครองสามารถมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่บ้านที่สอดคล้องกับหลักการของ PLEARN Model ได้ เช่น การทำอาหารร่วมกัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะการใช้มือ การคิดคำนวณ การอ่านตามสูตรอาหาร การทำงานร่วมกัน และการรับผิดชอบ กิจกรรมเช่นนี้เป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีความหมาย
การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่บ้านเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ปกครองสามารถสนับสนุน PLEARN Model ได้ พื้นที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่หรือมีอุปกรณ์ที่แพงราคา แต่ควรเป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีหนังสือ ของเล่นเพื่อการศึกษา วัสดุศิลปกรรม และสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย
การสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ PLEARN Model ประสบความสำเร็จ ผู้ปกครองควรสื่อสารกับครูอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กที่บ้าน ปัญหาที่พบ และความคืบหน้าที่เกิดขึ้น การสื่อสารแบบสองทางนี้จะช่วยให้ทั้งครูและผู้ปกครองสามารถร่วมกันวางแผนและปรับปรุงวิธีการพัฒนาเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ปกครองก็เป็นส่วนหนึ่งของ PLEARN Model ที่สำคัญ เด็กในวัยนี้เรียนรู้ผ่านการเลียนแบบเป็นหลัก ดังนั้นผู้ปกครองควรแสดงพฤติกรรมที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ เช่น การอ่านหนังสือ การแสดงความสนใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การแก้ปัญหาด้วยความสงบเสงี่ยม และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
การใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุน PLEARN Model
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลジีในรูปแบบ PLEARN Model ต้องมีความระมัดระวังและเหมาะสมกับวัยของเด็ก โดยเทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นตัวแทนของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือประสบการณ์จริง
การใช้แอปพลิเคชันการศึกษาที่เหมาะสมสามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ได้ เช่น แอปฯ ที่ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะ การจับคู่ การแยกแยะสี รูปร่าง และเสียง หรือแอปฯ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เช่น การวาดรูปดิจิทัล การประกอบดนตรี หรือการเล่าเรื่องเชิงโต้ตอบ การเลือกใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้ควรผ่านการพิจารณาจากครูและผู้ปกครองร่วมกัน
การใช้กล้องถ่ายรูปและวิดีโอในการบันทึกกิจกรรมและพัฒนาการของเด็กเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในรูปแบบ PLEARN Model การบันทึกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการประเมินพัฒนาการ แต่ยังเป็นการสร้างความทรงจำที่ดีและช่วยให้เด็กได้เห็นความก้าวหน้าของตนเอง การชมวิดีโอของตนเองทำกิจกรรมต่างๆ ยังช่วยส่งเสริมการสะท้อนคิดและการเรียนรู้จากประสบการณ์
เครื่องมือการสื่อสารออนไลน์สามารถช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี การใช้แพลตฟอร์มการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น แอปพลิเคชันสำหรับครอบครัว หรือกลุ่มสนทนาของผู้ปกครองในชั้นเรียน สามารถช่วยในการแบ่งปันข้อมูล แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประสานงานในการจัดกิจกรรมร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีในการศึกษาปฐمวัยต้องมีการกำหนดขอบเขตและเวลาที่เหมาะสม เด็กในวัยนี้ต้องการประสบการณ์จริงผ่านการสัมผัส การเคลื่อนไหว และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นหลัก เทคโนโลยีควรถูกใช้เป็นเครื่องมือประกอบการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นสื่อหลักในการจัดการเรียนการสอน
ตัวอย่างไฟล์ วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 “การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง ผ่านรูปแบบ PLEARN Model”


