สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่านครับ วันนี้ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ขอนำเสนอ อบรมออนไลน์ Thai PBS ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันสังเกตและทำความเข้าใจในธรรมชาติของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ Slecific Learning Disorder เพื่อไปสู่จุดเริ่มต้นของการฝึกฝนและส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากคนใกล้ชิดของเด็กทั้งในบ้านและโรงเรียน ได้รับเกียรติบัตรจากการเข้าร่วมกิจกรรม
Thai PBS ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันสังเกตและทำความเข้าใจในธรรมชาติของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ Slecific Learning Disorder เพื่อไปสู่จุดเริ่มต้นของการฝึกฝนและส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากคนใกล้ชิดของเด็กทั้งในบ้านและโรงเรียน ได้รับเกียรติบัตรจากการเข้าร่วมกิจกรรม

รายละเอียด กิจกรรม พัฒนา “เรียนรู้ เข้าใจ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ สู่การพัฒนาให้ถูกวิธีเริ่มต้นที่คนใกล้ตัว

เข้าใจภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กไทยอย่างเหมาะสม
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 การทำความเข้าใจในธรรมชาติของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้หรือที่เรียกว่า Specific Learning Disorder (SLD) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ สำหรับพ่อแม่ ครูอาจารย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็ก การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะนี้จะช่วยให้สามารถสังเกต ระบุ และให้การสนับสนุนที่เหมาะสมแก่เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเริ่มต้นจากคนใกล้ชิดของเด็กทั้งในบ้านและโรงเรียนถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ เพราะคนเหล่านี้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและสังเกตพฤติกรรมของเด็กได้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน การที่ทุกคนมีความรู้และทักษะในการสนับสนุนเด็กจะส่งผลให้เด็กได้รับการช่วยเหลือที่สอดคล้องและต่อเนื่อง
ความหมายและลักษณะของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้
ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้หรือ Specific Learning Disorder เป็นภาวะทางประสาทวิทยาที่ส่งผลต่อความสามารถในการประมวลผลข้อมูลในสมองในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรือการใช้ภาษา แม้ว่าเด็กจะมีระดับความฉลาดปกติหรือสูงกว่าปกติ และได้รับการศึกษาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
ลักษณะเด่นของภาวะนี้คือความแตกต่างระหว่างศักยภาพทางสติปัญญาของเด็กกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านที่ได้รับผลกระทบ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้อาจแสดงออกถึงความสามารถที่โดดเด่นในบางด้าน แต่กลับมีความยากลำบากอย่างมากในด้านอื่น การเข้าใจลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้ใหญ่สามารถมองเห็นจุดแข็งและจุดที่ต้องการการสนับสนุนของเด็กได้อย่างชัดเจน
ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการขาดแรงจูงใจ ความเกียจคร้าน หรือการขาดความพยายามของเด็ก แต่เป็นผลมาจากความแตกต่างในการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การที่ผู้ใหญ่เข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยลดความเข้าใจผิดและการตำหนิเด็กอย่างไม่เป็นธรรม
ประเภทหลักของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้
ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามทักษะที่ได้รับผลกระทบ ประเภทแรกคือภาวะบกพร่องในการอ่าน หรือที่เรียกกันว่า Dyslexia ซึ่งเป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุด เด็กที่มีภาวะนี้จะมีความยากลำบากในการรู้จักตัวอักษร การเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร การอ่านคำ และการเข้าใจความหมายจากการอ่าน
ประเภทที่สองคือภาวะบกพร่องในการเขียน หรือ Dysgraphia เด็กที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือเพื่อการเขียน การจัดวางตัวอักษรบนกระดาษ การเรียงลำดับความคิดให้เป็นข้อความที่สมบูรณ์ และการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง การเขียนของเด็กกลุ่มนี้อาจดูยุ่งเหยิง อ่านยาก และใช้เวลานานกว่าปกติ
ประเภทที่สามคือภาวะบกพร่องในการคำนวณ หรือ Dyscalculia เด็กที่มีภาวะนี้จะมีความยากลำบากในการเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับตัวเลข การคำนวณทางคณิตศาสตร์ การจดจำสูตรและขั้นตอนการคิดคำนวณ รวมถึงการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
นอกจากสามประเภทหลักแล้ว ยังมีภาวะบกพร่องอื่น เช่น การมีปัญหาในการประมวลผลข้อมูลที่ได้ยิน การจัดระเบียบความคิด และการใช้หน่วยความจำในการทำงาน การเข้าใจในประเภทต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้สามารถสังเกตและให้การสนับสนุนที่ตรงจุดแก่เด็กได้
การสังเกตสัญญาณเตือนในวัยเด็ก
การสังเกตสัญญาณเตือนของภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ในวัยเด็กถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เนื่องจากการระบุและให้การช่วยเหลือที่รวดเร็วจะส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว พ่อแม่และครูควรสังเกตพฤติกรรมและความสามารถของเด็กในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด
ในช่วงปฐมวัย เด็กที่มีความเสี่ยงต่อภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้อาจแสดงสัญญาณเช่น การพัฒนาทางภาษาที่ช้ากว่าปกติ การมีปัญหาในการจำคำศัพท์ การออกเสียงที่ไม่ชัดเจน การมีความยากลำบากในการจดจำเพลงหรือบทกลอน และการมีปัญหาในการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือและตา
เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน สัญญาณจะชัดเจนมากขึ้น เช่น การเรียนรู้ตัวอักษรและเสียงได้ช้า การมีปัญหาในการผสมเสียงเป็นคำ การอ่านได้ช้าและติดขัด การสะกดคำผิดบ่อย การเขียนตัวอักษรกลับด้าน การมีปัญหาในการจำตารางสูตรคูณ และการทำโจทย์คณิตศาสตร์ได้ยาก
สัญญาณที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความสามารถในการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ เด็กอาจแสดงความสามารถที่ดีมากในการจำรูปภาพ การเล่าเรื่อง หรือการแก้ปัญหาเชิงตรรกะ แต่กลับมีความยากลำบากมากในการอ่าน การเขียน หรือการคำนวณ
บทบาทของครอบครัวในการสนับสนุน
ครอบครัวเป็นสิ่งแวดล้อมแรกและสำคัญที่สุดในการพัฒนาเด็ก สำหรับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ การได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากครอบครัวจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเองและสามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องและทัศนคติเชิงบวกต่อภาวะนี้
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ครอบครัวควรจัดพื้นที่การเรียนที่เงียบ ไม่รบกวน และมีแสงสว่างเพียงพอ การจัดหาเครื่องมือและสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก เช่น หนังสือภาพ เกมการศึกษา หรือแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้ จะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกสนานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การให้กำลังใจและการยอมรับเป็นสิ่งที่เด็กต้องการมาก ครอบครัวควรเน้นจุดแข็งและความสามารถพิเศษของเด็ก มากกว่าการมุ่งเน้นไปที่จุดอ่อน การชมเชยความพยายามและความก้าวหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากเรียนรู้ต่อไป การหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบกับพี่น้องหรือเพื่อน ๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาความมั่นใจของเด็ก
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพภายในครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญ พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศที่เด็กรู้สึกปลอดภัยในการแสดงความรู้สึกและความต้องการ การฟังอย่างใส่ใจและการให้คำปรึกษาอย่างสร้างสรรคจะช่วยให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและมีความมั่นใจในการเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
การทำงานร่วมกันระหว่างบ้านและโรงเรียน
ความร่วมมือระหว่างครอบครัวและโรงเรียนเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จ การที่ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับความต้องการและความสามารถของเด็ก จะทำให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างสอดคล้องและต่อเนื่อง
การสื่อสารที่สม่ำเสมอระหว่างพ่อแม่และครูเป็นรากฐานของความร่วมมือที่ดี การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม ความก้าวหน้า และปัญหาที่พบในแต่ละสภาพแวดล้อมจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจเด็กมากขึ้นและสามารถปรับวิธีการสอนและการดูแลให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
การร่วมกันวางแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ IEP (Individualized Education Program) เป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องมีส่วนร่วมจากทั้งครูและผู้ปกครอง การกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้และวิธีการที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กได้รับการสนับสนุนที่ตรงกับความต้องการ การติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับแผนการศึกษาให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของเด็ก
การฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างครูและผู้ปกครองก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ การเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเกี่ยวกับภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ การแบ่งปันเทคนิคการสอนและการดูแลที่ประสบผลสำเร็จ จะช่วยเพิ่มความรู้และทักษะในการสนับสนุนเด็กของทุกคน
เทคนิคการสอนและการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ
การใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ การใช้วิธีการสอนแบบผสมผสานที่เรียกว่า Multi-sensory Approach จะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดในการเรียนรู้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของการเชื่อมโยงในสมอง ตยอย่างเช่น ในการสอนการอ่าน อาจใช้การดู การฟัง การสัมผัส และการเคลื่อนไหวร่วมกัน การให้เด็กใช้นิ้วติดตามตัวอักษรขณะอ่าน การใช้เพลงหรือจังหวะในการจำคำศัพท์ หรือการใช้สีสันและภาพประกอบจะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกสนานและจดจำได้ดีขึ้น
การแบ่งงานหรือข้อมูลออกเป็นส่วนเล็ก ๆ เป็นเทคนิคสำคัญอีกอย่างหนึ่ง การให้เด็กเรียนรู้ทีละขั้นตอนเล็ก ๆ จะช่วยลดความรู้สึกครอบงำและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ การให้เวลาเพิ่มเติมในการทำงานและการยอมให้มีการพักระหว่างกิจกรรมจะช่วยให้เด็กสามารถประมวลผลข้อมูลได้ดีขึ้น
การใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก แอปพลิเคชันและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้เครื่องมือช่วยอ่าน โปรแกรมตรวจการสะกด หรือเครื่องคำนวณพิเศษจะช่วยลดอุปสรรคในการเรียนรู้และเพิ่มความมั่นใจให้กับเด็ก
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
สภาพแวดล้อมทางกายภาพและจิตใจที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อความต้องการเฉพาะของเด็กจะช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้และแสดงศักยภาพได้เต็มที่
การจัดพื้นที่การเรียนให้เป็นระเบียบและไม่รบกวนเป็นสิ่งแรกที่ต้องพิจารณา เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้มักจะมีความไวต่อการรบกวนมากกว่าเด็กทั่วไป การลดเสียงรบกวน การหลีกเลี่ยงการวางสิ่งของที่ไม่จำเป็นบนโต๊ะเรียน และการใช้แสงที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กสามารถมีสมาธิและโฟกัสได้ดีขึ้น
การใช้สีสันและการจัดระเบียบที่เป็นระบบจะช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับข้อมูลได้ดีขึ้น การใช้สีแยกประเภทของเครื่องเขียนหรือเอกสาร การติดป้ายชื่อที่ชัดเจน และการจัดวางสิ่งของในตำแหน่งที่คงที่จะช่วยลดความสับสนและเพิ่มความเป็นระเบียบในการทำงาน
สภาพแวดล้อมทางจิตใจที่ปลอดภัยและให้การสนับสนุนเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน การสร้างบรรยากาศที่เด็กรู้สึกว่าการทำผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การให้การยอมรับและกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ และการเน้นย้ำถึงจุดแข็งของเด็กจะช่วยสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้
การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์
การส่งเสริมความมั่นใจในตนเองผ่านการค้นหาและพัฒนาจุดแข็งเฉพาะตัวเป็นสิ่งสำคัญ เด็กแต่ละคนมีความสามารถพิเศษในด้านต่าง ๆ การช่วยให้พวกเขาได้แสดงออกและประสบความสำเร็จในสิ่งที่ถนัด ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ กีฬา ดนตรี หรือการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ จะทำให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น
ครูและผู้ปกครองควรสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อค้นหาสิ่งที่พวกเขาสนใจและสามารถทำได้ดี การสร้างประสบการณ์แห่งความสำเร็จในด้านอื่น ๆ นอกจากการเรียนในห้องเรียนจะช่วยให้เด็กมองเห็นว่า “ตนเองก็มีคุณค่าและความสามารถเช่นเดียวกับคนอื่น” สิ่งนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเผชิญกับความท้าทายทางการเรียนรู้ที่ยากลำบาก
นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกวิธีการทำการบ้าน การเลือกสื่อการเรียนที่ชอบ หรือการกำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ ของตนเอง จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการรับผิดชอบ พร้อมทั้งสร้างความรู้สึกว่า “เสียงของตนเองมีคุณค่า”
ท้ายที่สุด การเข้าใจภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ไม่ใช่เพียงการมุ่งเน้นไปที่ข้อจำกัด แต่คือการมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็กทุกคน หากครอบครัว โรงเรียน และสังคมร่วมมือกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ก็จะสามารถเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจ มีความสุข และก้าวไปสู่การพัฒนาศักยภาพที่เต็มเปี่ยม เพื่อเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยในอนาคต
คำชี้แจง กิจกรรม พัฒนา “เรียนรู้ เข้าใจ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ สู่การพัฒนาให้ถูกวิธีเริ่มต้นที่คนใกล้ตัว
Topic: พัฒนา “เรียนรู้ เข้าใจ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ สู่การพัฒนาให้ถูกวิธีเริ่มต้นที่คนใกล้ตัว
Time: Jul 22, 2023 10:00 PM Bangkok
Join Zoom Meeting
https://zoom.us/j/93812451310…
Meeting ID: 938 1245 1310
Passcode: 965452
ลิงก์สำหรับเข้าอบรมออนไลน์
กิจกรรม พัฒนา “เรียนรู้ เข้าใจ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ สู่การพัฒนาให้ถูกวิธีเริ่มต้นที่คนใกล้ตัว
Join Zoom Meeting
https://zoom.us/j/93812451310…
Meeting ID: 938 1245 1310
Passcode: 965452
โดย ผศ.ดร.พัชรินทร์เสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กพิเศษและอาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล