
บทความนี้ สื่อฟรีออนไลน์.com
ขอแนะนำไฟล์ วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู
วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครูให้เป็นนักพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง
การศึกษาในยุคปัจจุบันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ครูผู้สอนจึงต้องปรับตัวและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ครูพัฒนาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพก็คือ การวิจัยชั้นเรียน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ครูใช้ศึกษาปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของตนเอง เพื่อหาแนวทางแก้ไขและพัฒนาการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น การวิจัยชั้นเรียนไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเปลี่ยนครูให้กลายเป็นนักพัฒนาการศึกษาที่แท้จริง
การวิจัยชั้นเรียนคืออะไร
การวิจัยชั้นเรียนหรือที่เรียกกันว่า Classroom Action Research เป็นกระบวนการวิจัยที่ครูดำเนินการเองในห้องเรียนของตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน หรือเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลักษณะเด่นของการวิจัยชั้นเรียนคือ เป็นการวิจัยที่เกิดจากปัญหาจริงในชั้นเรียน ดำเนินการโดยครูผู้สอนเอง และนำผลไปใช้ได้ทันทีในบริบทของห้องเรียนนั้น การวิจัยชั้นเรียนจึงแตกต่างจากการวิจัยทั่วไปที่อาจทำโดยนักวิจัยภายนอกและใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
ความสำคัญของการวิจัยชั้นเรียนต่อการพัฒนาครู
การวิจัยชั้นเรียนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาครูให้เป็นมืออาชีพที่แท้จริง เมื่อครูทำวิจัยชั้นเรียน ครูจะได้เรียนรู้ที่จะสังเกตปัญหาในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาอย่างลึกซึ้ง และคิดค้นวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม กระบวนการเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงระบบ และการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ ครูที่ทำวิจัยชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องจะมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น เพราะได้ทดลองวิธีการสอนหลากหลายรูปแบบและประเมินผลอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ การวิจัยชั้นเรียนยังช่วยให้ครูมีทัศนคติเชิงบวกต่อการพัฒนาตนเอง ครูจะเห็นว่าตนเองสามารถเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนได้ ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นมาแก้ปัญหาให้ การได้เห็นผลลัพธ์จากการพัฒนาของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น มีความสุขในการเรียนมากขึ้น หรือมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น จะสร้างแรงจูงใจให้ครูอยากพัฒนาตนเองต่อไป ครูจะกลายเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตที่พร้อมจะปรับปรุงและพัฒนาการสอนของตนอยู่เสมอ
ขั้นตอนการทำวิจัยชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ
การทำวิจัยชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน โดยทั่วไปจะประกอบด้วยสี่ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูล และการสะท้อนคิด ขั้นตอนเหล่านี้เป็นวงจรที่หมุนเวียนกันไป เมื่อจบรอบหนึ่งแล้วก็จะเริ่มรอบใหม่เพื่อพัฒนาต่อไป
ขั้นตอนแรกคือการวางแผน ครูต้องระบุปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน เช่น นักเรียนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน นักเรียนอ่านหนังสือไม่คล่อง หรือนักเรียนไม่สนใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จากนั้นครูต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหานั้น อาจเป็นการอ่านเอกสารทางวิชาการ สอบถามครูที่มีประสบการณ์ หรือสังเกตพฤติกรรมนักเรียนอย่างละเอียด เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว ครูจึงวางแผนวิธีการแก้ไข อาจเป็นการใช้เทคนิคการสอนใหม่ การใช้สื่อการสอนที่แตกต่างไป หรือการปรับเปลี่ยนบรรยากาศในชั้นเรียน การวางแผนควรมีความชัดเจนเฉพาะเจาะจง รวมถึงกำหนดวิธีการประเมินผลว่าจะวัดความสำเร็จได้อย่างไร
ขั้นตอนที่สองคือการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ครูนำวิธีการที่ออกแบบไปใช้จริงในชั้นเรียน ระหว่างการปฏิบัติครูต้องยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์จริง เพราะสิ่งที่วางแผนไว้อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเสมอไป การปฏิบัติอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับลักษณะของการวิจัย สิ่งสำคัญคือครูต้องสม่ำเสมอและมีความมุ่งมั่นในการทำให้แผนที่วางไว้เกิดขึ้นจริง
ขั้นตอนที่สามคือการสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูล ขณะที่ปฏิบัติแผนไป ครูต้องเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อนำมาวิเคราะห์ ข้อมูลอาจเป็นคะแนนสอบของนักเรียน การบันทึกพฤติกรรมในชั้นเรียน การบันทึกวิดีโอการสอน การสัมภาษณ์นักเรียน หรือแบบสอบถามความพึงพอใจ ยิ่งมีข้อมูลหลากหลายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นเท่านั้น การเก็บข้อมูลควรทำอย่างสม่ำเสมอและตรงตามที่วางแผนไว้
ขั้นตอนสุดท้ายคือการสะท้อนคิดและประเมินผล ครูนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ว่าวิธีการที่ใช้ประสบความสำเร็จหรือไม่ มีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง สาเหตุมาจากอะไร จากการสะท้อนคิดนี้ ครูจะได้บทเรียนสำคัญที่จะนำไปพัฒนาการสอนในรอบต่อไป ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ก็ถือเป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่าเช่นกัน เพราะทำให้รู้ว่าวิธีการนั้นไม่เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน และต้องหาวิธีอื่นที่ดีกว่า
การเลือกหัวข้อวิจัยชั้นเรียนที่เหมาะสม
การเลือกหัวข้อวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการทำวิจัยชั้นเรียน หัวข้อที่ดีควรเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนของครู เป็นปัญหาที่ครูสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง และเป็นปัญหาที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ครูไม่ควรเลือกหัวข้อที่กว้างเกินไปหรือซับซ้อนเกินกว่าจะดำเนินการได้ในเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่
ตัวอย่างหัวข้อวิจัยที่เหมาะสมอาจเป็น การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามโดยใช้กิจกรรมการอ่านร่วมกัน การส่งเสริมความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งด้วยเทคนิคการเล่นบทบาทสมมติ หรือการลดพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามโดยการใช้ระบบคะแนนพฤติกรรม หัวข้อเหล่านี้เป็นปัญหาเฉพาะเจาะจง มีขอบเขตที่ชัดเจน และครูสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากนัก
การเลือกหัวข้อควรคำนึงถึงความสนใจของครูด้วย เมื่อครูสนใจในหัวข้อที่ทำวิจัย ครูจะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น นอกจากนี้ ครูควรเลือกหัวข้อที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นผลลัพธ์ในระยะเวลาที่กำหนด หากเลือกหัวข้อที่ต้องใช้เวลานานเกินไป อาจทำให้ครูท้อแท้และไม่อยากทำต่อ
เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยชั้นเรียน
การเก็บข้อมูลที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยชั้นเรียน ข้อมูลที่หลากหลายและครบถ้วนจะช่วยให้ครูเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้นและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเทคนิคการเก็บข้อมูลหลายวิธีที่ครูสามารถใช้ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการวิจัย
วิธีแรกคือการสังเกต ครูสามารถบันทึกพฤติกรรมของนักเรียนในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นการนับจำนวนครั้งที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมบางอย่าง การบันทึกปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน หรือการบันทึกความตั้งใจในการเรียน การสังเกตควรทำอย่างสม่ำเสมอและมีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการบันทึก บางครั้งครูอาจขอให้ครูคนอื่นหรือผู้ช่วยเข้ามาช่วยสังเกต เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เที่ยงตรงมากขึ้น
วิธีที่สองคือการทดสอบหรือแบบทดสอบ ครูสามารถใช้แบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ความเข้าใจของนักเรียนก่อนและหลังการทดลองใช้วิธีการสอนใหม่ การเปรียบเทียบคะแนนจะช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน แบบทดสอบควรตรงกับสิ่งที่ต้องการวัดและมีความเที่ยงตรง นอกจากแบบทดสอบข้อเขียนแล้ว ครูอาจใช้การประเมินผลงานหรือการนำเสนอของนักเรียนก็ได้
วิธีที่สามคือการสัมภาษณ์หรือแบบสอบถาม ครูสามารถสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการเรียนการสอน ความรู้สึกของนักเรียนต่อกิจกรรมต่างๆ หรือปัญหาที่นักเรียนพบในการเรียน ข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจมุมมองของนักเรียนได้ดีขึ้น และอาจค้นพบสาเหตุของปัญหาที่ไม่สามารถเห็นได้จากการสังเกตภายนอกเพียงอย่างเดียว
วิธีที่สี่คือการเก็บผลงานของนักเรียน ครูสามารถรวบรวมงานเขียน ภาพวาด โครงงาน หรือผลงานอื่นๆของนักเรียนมาวิเคราะห์ การดูพัฒนาการของผลงานตลอดช่วงเวลาของการวิจัยจะช่วยให้เห็นการเติบโตของนักเรียนได้อย่างเป็นรูปธรรม การสะสมผลงานยังเป็นหลักฐานที่ดีในการนำเสนอผลการวิจัยด้วย
วิธีที่ห้าคือการบันทึกประจำวันหรือบันทึกการสอน ครูเขียนบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมถึงความรู้สึกและการสะท้อนคิดของตนเอง บันทึกเหล่านี้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่อุดมสมบูรณ์เมื่อถึงเวลาวิเคราะห์ผล และยังช่วยให้ครูเห็นการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติและความคิดของตนเองด้วย
การวิเคราะห์ข้อมูลและการสรุปผล
เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคำตอบว่าวิธีการที่ใช้มีประสิทธิภาพหรือไม่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น คะแนนสอบ สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือใช้สถิติเบื้องต้นอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สถิติที่ซับซ้อน เพียงแค่แสดงให้เห็นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงก็เพียงพอ การนำเสนอข้อมูลในรูปของกราฟหรือตารางจะช่วยให้เห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ข้อมูลจากการสัมภาษณ์หรือบันทึกการสังเกต ต้องอาศัยการจัดหมวดหมู่และหาธีมหรือรูปแบบที่ปรากฏ ครูอ่านข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด แล้วจัดกลุ่มข้อมูลที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน จากนั้นตั้งชื่อหมวดหมู่หรือธีมให้กับแต่ละกลุ่ม การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น เช่น นักเรียนมีคะแนนสอบดีขึ้นและในการสัมภาษณ์ก็บอกว่าชอบวิธีการเรียนแบบใหม่มากขึ้น ข้อมูลทั้งสองส่วนนี้เสริมซึ่งกันและกัน
การสรุปผลควรนำเสนออย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ หากผลลัพธ์เป็นบวก ครูควรระบุว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ครูก็ควรวิเคราะห์ว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะวิธีการไม่เหมาะสมกับบริบท หรือการดำเนินการไม่เป็นไปตามแผน หรือมีปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรกแซง การยอมรับข้อจำกัดและความล้มเหลวคือส่วนสำคัญของการเรียนรู้และจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นในอนาคต
อุปสรรคในการทำวิจัยชั้นเรียนและวิธีแก้ไข
แม้ว่าการวิจัยชั้นเรียนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ครูหลายคนยังประสบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ อุปสรรคที่พบบ่อยที่สุดคือเรื่องเวลา ครูมีภาระงานมากมายทั้งการสอน การตรวจงาน การทำเอกสาร และกิจกรรมอื่นๆ การหาเวลามาทำวิจัยจึงเป็นเรื่องท้าทาย วิธีแก้ปัญหานี้คือการบูรณาการการวิจัยเข้ากับงานประจำ ไม่ต้องคิดว่าการวิจัยเป็นงานเพิ่มเติมที่แยกออกจากการสอน แต่ให้มองว่าการสอนนั่นเองคือการวิจัย การสังเกตที่ทำอยู่แล้วในชั้นเรียนสามารถจดบันทึกอย่างเป็นระบบมากขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลวิจัยได้
อุปสรรคที่สองคือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัย ครูบางคนกลัวว่าตนเองไม่มีความรู้เพียงพอ หรือคิดว่าการวิจัยเป็นเรื่องซับซ้อนยากเกินไป วิธีแก้คือการหาความรู้จากแหล่งต่างๆ อาจเป็นการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิจัยชั้นเรียน การเข้าร่วมอบรมหรือสัมมนา หรือการขอคำแนะนำจากครูอาวุโสหรือนักวิชาการที่มีประสบการณ์ การเริ่มต้นด้วยโครงการเล็กๆง่ายๆก่อนก็เป็นวิธีที่ดี เมื่อมีความมั่นใจมากขึ้นจึงค่อยทำโครงการที่ซับซ้อนขึ้น
สรุปรายละเอียดเป็นรูปภาพพอสังเขปได้ดังนี้ครับ

































ขอแนะนำไฟล์ วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู
เป็นไฟล์ PDF