สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ แนวทางการสอนประวัติศาสตร์ ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ แนวทางการสอนประวัติศาสตร์ ให้กับนักเรียน ตามบริบทของห้องเรียน ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ แนวทางการสอนประวัติศาสตร์ ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

ดาวน์โหลด แนวทางการสอนประวัติศาสตร์ โดย กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2


การพัฒนาแนวทางการสอนประวัติศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างจิตสำนึกในอดีตและปัจจุบัน

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์ เน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยนำรูปแบบ Active Learning มาใช้ และจัดกิจกรรมเสริม ทักษะเพิ่มเติมตามความถนัด และที่สำคัญ ขอให้เพิ่มการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่ พลเมือง เพื่อสร้างสำนึกของความเป็นไทย รักในการเป็นชาติของเรา โดยจัดการเรียนรู้ตามความ พร้อม และเหมาะสมในแต่ละบริบทพื้นที่ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษานำหลักสูตรฐานสมรรถนะ มาพัฒนาทักษะของนักเรียนและประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการบริหารจัดการโครงสร้าง หลักสูตรสถานศึกษา ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้และ ๑ รายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 มีนโยบายและจุดเน้น ในการ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ให้มีความทันสมัย  น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนควบคู่ไปกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและการ เสริมสร้างวิถีชีวิตของความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง จึงจัดทำแนวทางการสอนประวัติศาสตร์เพื่อพัฒนา กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ ส่งเสริม พัฒนา ครู ให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์ นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และสนับสนุน ให้สถานศึกษานำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปพัฒนาการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ขอขอบคุณดร.วัฒนชัย ถิรศิลาเวทย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน เขตพื้นที่ การศึกษา พร้อมด้วยฝ่ายบริหารทุกท่าน และคณะทำงานทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้คู่มือเล่มนี้  สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี 

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์  เน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยนำรูปแบบ Active Learning มาใช้ และจัดกิจกรรมเสริมทักษะเพิ่มเติม  ตามความถนัด และที่สำคัญ ขอให้เพิ่มการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อสร้างสำนึกของ ความเป็นไทย รักในการเป็นชาติของเรา โดยจัดการเรียนรู้ตามความพร้อม และเหมาะสมในแต่ละบริบทพื้นที่  ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษานำหลักสูตรฐานสมรรถนะมาพัฒนาทักษะของนักเรียน เป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิด กระบวนการคิด วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาเป็น รู้เท่าทันสื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันโรงเรียน  และครูผู้สอนต้องมีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ สำคัญ นอกจากสอนให้เด็กเก่งแล้วยังต้องปลูกฝังให้เด็กเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม รักชาติ ศาสนา  และพระมหากษัตริย์ รวมถึงเสริมสร้างวิถีชีวิตความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 มีนโยบายและจุดเน้น ในการพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ให้มีความทันสมัย น่าสนใจ เหมาะสมกับวัย ของผู้เรียนควบคู่ไปกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและการเสริมสร้างวิถีชีวิตของความเป็นพลเมือง ที่เข้มแข็งโดยการดำเนินงานตามนโยบายได้ดำเนินการขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์หน้าที่ พลเมืองและศีลธรรมเน้นสถานศึกษาในสังกัด นำแนวทางการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สู่การจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึก คิดวิเคราะห์ สร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง ครูผู้สอนใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ จัดทำคู่มือการสอนประวัติศาสตร์ กำหนดจัดกิจกรรม การจัดทำคู่มือพัฒนา การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ ส่งเสริม พัฒนา ครู ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์ สนับสนุนให้สถานศึกษานำหลักสูตรฐานสมรรถนะมาพัฒนาการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง

การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นรากฐานสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกและความรักชาติให้กับเยาวชนไทย อย่างไรก็ตาม การสอนประวัติศาสตร์ในปัจจุบันยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิธีการสอนที่ยังคงเน้นการท่องจำมากกว่าการเข้าใจ การขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย หรือการไม่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาประวัติศาสตร์กับชีวิตจริงของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จึงได้ริเริ่มการพัฒนาแนวทางการสอนประวัติศาสตร์ใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง การคิดวิเคราะห์ และการเชื่อมโยงความรู้ทางประวัติศาสตร์กับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยใช้หลักการทางการศึกษาที่ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย

ปัญหาและความท้าทายในการสอนประวัติศาสตร์ปัจจุบัน

การสอนประวัติศาสตร์ในระบบการศึกษาไทยยังคงประสบกับปัญหาหลายประการที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน ปัญหาแรกที่สำคัญคือการยึดติดกับรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นการถ่ายทอดข้อมูลทางเดียวจากครูไปยังนักเรียน โดยมักใช้วิธีการบรรยายและให้นักเรียนท่องจำเนื้อหาเป็นหลัก วิธีการนี้ทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายและไม่เห็นคุณค่าของการเรียนประวัติศาสตร์

ปัญหาที่สองคือการขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่หลากหลายและทันสมัย ครูส่วนใหญ่ยังคงใช้เพียงแค่หนังสือเรียนและกระดานดำเป็นเครื่องมือหลักในการสอน ซึ่งไม่สามารถสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่นักเรียนคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและสื่อมัลติมีเดียในชีวิตประจำวัน

ปัญหาที่สามคือการไม่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาประวัติศาสตร์กับชีวิตจริงของนักเรียนและสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน นักเรียนมักรู้สึกว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของอดีตที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเขาในปัจจุบัน ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้และไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต

นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนครูที่มีความรู้และทักษะในการสอนประวัติศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่ง ครูหลายคนยังไม่ได้รับการพัฒนาทักษะการสอนที่เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งต้องการการสร้างความเข้าใจเชิงลึกและการคิดวิเคราะห์มากกว่าการจดจำข้อมูล

หลักการและแนวคิดในการพัฒนาแนวทางการสอนประวัติศาสตร์

กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ได้นำหลักการทางการศึกษาที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแนวทางการสอนประวัติศาสตร์ โดยยึดหลักการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือ Student-Centered Learning ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ด้วยตนเองของนักเรียนมากกว่าการรับสารสนเทศเพียงอย่างเดียว

แนวคิดสำคัญประการแรกคือการใช้หลักการสร้างสรรค์นิยม หรือ Constructivism ซึ่งเชื่อว่านักเรียนสามารถสร้างความรู้และความเข้าใจได้ด้วยตนเองผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย การเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมที่มีอยู่ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างแข็งขัน วิธีการนี้ช่วยให้นักเรียนเข้าใจประวัติศาสตร์ได้ลึกซึ้งมากขึ้นและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง

หลักการที่สองคือการเรียนรู้แบบร่วมมือ หรือ Collaborative Learning ที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันในกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถกเถียงประเด็นทางประวัติศาสตร์ และสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน การเรียนรู้แบบนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีมของนักเรียน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21

หลักการที่สามคือการใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หรือ Integrated Learning ที่เชื่อมโยงเนื้อหาประวัติศาสตร์กับสาขาวิชาอื่นๆ เช่น ภูมิศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย และศิลปะ การบูรณาการนี้ช่วยให้นักเรียนเห็นความเชื่อมโยงของความรู้และเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน

หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งคือการใช้แนวคิดการเรียนรู้ตามสถานการณ์จริง หรือ Authentic Learning ที่นำเสนอเนื้อหาประวัติศาสตร์ผ่านสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในอดีตและปัจจุบัน วิธีการนี้ช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจในปัจจุบันได้

รูปแบบการสอนประวัติศาสตร์ที่เสนอแนะ

การพัฒนารูปแบบการสอนประวัติศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงความหลากหลายของผู้เรียนและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน รูปแบบแรกที่แนะนำคือการสอนแบบเล่าเรื่อง หรือ Storytelling Approach ที่ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยครูจะนำเสนอเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในรูปแบบของการเล่าเรื่องที่มีโครงเรื่องชัดเจน มีตัวละครที่น่าสนใจ และมีความขัดแย้งที่สร้างความตื่นเต้น

รูปแบบการสอนแบบเล่าเรื่องนี้ช่วยให้นักเรียนจดจำเนื้อหาได้ง่ายขึ้นและเกิดความเข้าใจในบริบททางประวัติศาสตร์ได้ดีกว่าการฟังการบรรยายที่เป็นข้อมูลแห้งๆ นอกจากนี้ครูยังสามารถใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่หลากหลาย เช่น การใช้สื่อภาพ เสียง หรือการแสดงประกอบเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและช่วยให้นักเรียนจินตนาการถึงสถานการณ์ในอดีตได้ชัดเจนขึ้น

รูปแบบที่สองคือการสอนแบบสืบสวนสอบสวน หรือ Inquiry-Based Learning ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นนักประวัติศาสตร์ตัวจริงที่ต้องค้นหาข้อมูล วิเคราะห์หลักฐาน และสร้างข้อสรุปด้วยตนเอง ครูจะเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่กระตุ้นความสงสัยของนักเรียน จากนั้นให้นักเรียนค้นคว้าหาคำตอบผ่านการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์ การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือการสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์

รูปแบบที่สามคือการสอนแบบโครงงาน หรือ Project-Based Learning ที่ให้นักเรียนทำงานในโครงงานที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ระยะเวลายาวนาน โครงงานเหล่านี้อาจเป็นการสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก การผลิตสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การจำลองเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือการสร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การทำโครงงานช่วยให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจริง และพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมและการนำเสนอผลงาน

รูปแบบที่สี่คือการสอนแบบบทบาทสมมติ หรือ Role-Playing ที่ให้นักเรียนแสดงบทบาทเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ การแสดงบทบาทช่วยให้นักเรียนเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของผู้คนในอดีต เรียนรู้เกี่ยวกับแรงจูงใจและข้อจำกัดที่มีผลต่อการตัดสินใจ และเห็นความซับซ้อนของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถมองในมิติเดียวได้

รูปแบบสุดท้ายที่แนะนำคือการสอนแบบใช้เทคโนโลยี หรือ Technology-Enhanced Learning ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการเรียนการสอน เช่น การใช้แอปพลิเคชันความจริงเสริม หรือ Augmented Reality เพื่อให้นักเรียนสามารถสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์ได้แม้ไม่สามารถไปจริงได้ การใช้เกมการศึกษาที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ หรือการสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย

การใช้สื่อการเรียนการสอนที่หลากหลาย

การพัฒนาและการใช้สื่อการเรียนการสอนที่หลากหลายเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้การสอนประวัติศาสตร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สื่อประเภทแรกที่ควรให้ความสำคัญคือสื่อภาพและเอกสารประวัติศาสตร์ ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายเก่า แผนที่โบราณ เอกสารราชการ จดหมายส่วนตัว และสิ่งพิมพ์ต่างๆ ในยุคสมัยนั้น สื่อเหล่านี้ช่วยให้นักเรียนสัมผัสกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยตรงและเรียนรู้ทักษะการวิเคราะห์เอกสาร

การใช้สื่อเอกสารประวัติศาสตร์ในชั้นเรียนต้องมีการเตรียมการอย่างดี ครูควรเลือกเอกสารที่เหมาะสมกับระดับของนักเรียนและมีความน่าสนใจ จัดทำแบบฝึกหัดหรือคำถามที่ช่วยให้นักเรียนวิเคราะห์เอกสารอย่างเป็นระบบ และสร้างการอภิปรายเพื่อให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความเข้าใจที่ได้จากการศึกษาเอกสาร วิธีการนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เป็นทักษะสำคัญในยุคสารสนเทศ

สื่อประเภทที่สองคือสื่อโสตทัศน์ เช่น ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ สารคดี บันทึกเสียงของบุคคลสำคัญ และเพลงที่สะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคสมัย การใช้สื่อโสตทัศน์ช่วยกระตุ้นหลายประสาทสัมผัสของนักเรียนและทำให้เนื้อหามีชีวิตชีวามากขึ้น อย่างไรก็ตาม ครูต้องระวังเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของสื่อเหล่านี้ และควรใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการอภิปรายมากกว่าการรับฟังอย่างเดียว

สื่อประเภทที่สามคือสื่อดิจิทัลและเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในยุคปัจจุบัน สื่อเหล่านี้รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ แอปพลิเคชันการศึกษา เกมการศึกษา ห้องเรียนเสมือนจริง และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ การใช้เทคโนโลยีช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้อย่างกว้างขวางและมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาได้มากขึ้น

ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีในการสอนประวัติศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่ความทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและตอบสนองต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้ดีจากการมองเห็น บางคนต้องการการลงมือปฏิบัติ และบางคนต้องการการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เทคโนโลยีสามารถช่วยตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม

สื่อประเภทสุดท้ายที่มีความสำคัญคือสื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ วัด โบราณสถาน และผู้สูงอายุในชุมชนที่เป็นพยานในเหตุการณ์ต่างๆ การใช้สื่อชุมชนช่วยให้นักเรียนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างประวัติศาสตร์ชาติกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และเข้าใจว่าตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแสประวัติศาสตร์ที่กำลังดำเนินต่อไป

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้และวิธีการสอนที่ใช้ การประเมินแบบดั้งเดิมที่เน้นการจดจำข้อมูลผ่านการสอบข้อเขียนแบบปรนัยอาจไม่เพียงพอสำหรับการวัดความสามารถที่แท้จริงของนักเรียนในด้านการคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์

รูปแบบการประเมินที่แนะนำประการแรกคือการประเมินตามสภาพจริง หรือ Authentic Assessment ที่วัดความสามารถของนักเรียนในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการปฏิบัติงานจริงของนักประวัติศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์เอกสารประวัติศาสตร์ การเขียนรายงานการวิจัยเล็กๆ การสร้างนิทรรศการ หรือการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้า การประเมินแบบนี้ช่วยให้ครูเห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของนักเรียนและสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนรู้

ตัวอย่างไฟล์ แนวทางการสอนประวัติศาสตร์


เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด