สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์คู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา ซึ่งสามารถนำไปศึกษาเป็นคู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาได้ครับ แอดมินขอแนะนำ คู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
คู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา

คู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา (SAR) สู่การพัฒนาคุณภาพอย่างยั่งยืน
การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา หรือที่รู้จักกันในชื่อ SAR (Self-Assessment Report) ถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่งสำหรับบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ครู หรือคณะกรรมการสถานศึกษา เพราะนี่ไม่ใช่เป็นเพียงเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรอรับการประเมินจากหน่วยงานภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่แท้จริงของ SAR คือกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนภาพความสำเร็จ จุดเด่นที่ควรส่งเสริม และจุดที่ต้องพัฒนาของสถานศึกษาอย่างรอบด้านและเป็นระบบที่สุด เป็นเครื่องมือทรงพลังในการขับเคลื่อนวงจรคุณภาพ (PDCA) เพื่อยกระดับการจัดการศึกษาให้ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง บทความนี้จึงเปรียบเสมือนคู่มือฉบับสมบูรณ์ ที่จะพาคุณครูและผู้บริหารทุกท่านไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการจัดทำ SAR อย่างละเอียด ตั้งแต่แนวคิด หลักการ โครงสร้าง ไปจนถึงเทคนิคการเขียนและการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้รายงานของท่านไม่ใช่แค่เอกสารที่สมบูรณ์ตามรูปแบบ แต่เป็นเอกสารที่มีชีวิตชีวาและนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาได้อย่างแท้จริง
แก่นแท้และปรัชญาของ SAR ทำความเข้าใจก่อนลงมือทำ
ก่อนที่เราจะไปดูโครงสร้างและวิธีการเขียน เราต้องปรับมุมมองและทำความเข้าใจถึงปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังของ SAR เสียก่อน รายงาน SAR ที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลตอนสิ้นปีการศึกษาแล้วนำมาเขียนเรียงกัน แต่เกิดจากกระบวนการทำงานตลอดทั้งปีการศึกษา เป็นผลผลิตของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประจำปีที่สถานศึกษาได้วางไว้อย่างดีแล้ว ดังนั้น SAR จึงเป็นภาพสะท้อนของการทำงานอย่างมีเป้าหมาย มีการวางแผน (Plan) การลงมือปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบและประเมินผล (Check) และการนำผลไปปรับปรุงพัฒนา (Act) อย่างต่อเนื่องนั่นเอง จุดประสงค์หลักของ SAR คือการตอบคำถามสำคัญ 3 ประการที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาของเรามีคุณภาพอยู่ในระดับใด (ตามมาตรฐานที่กำหนด), เรามีหลักฐานอะไรมายืนยันคำตอบนั้น และเราจะวางแผนพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นไปได้อย่างไรในอนาคต ดังนั้น การมอง SAR เป็นเครื่องมือเพื่อการพัฒนาภายใน จะช่วยลดความกดดันและทำให้กระบวนการจัดทำเป็นไปอย่างมีความหมายและสร้างสรรค์มากขึ้น
โครงสร้างมาตรฐานของรายงาน SAR ที่สมบูรณ์
โดยทั่วไปแล้ว โครงสร้างของ SAR จะอ้างอิงตามที่กระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต้นสังกัดประกาศกำหนด ซึ่งมักจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้การประเมินเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ โดยสามารถแบ่งออกเป็นส่วนสำคัญต่างๆ ได้ดังนี้
ส่วนนำ จะประกอบไปด้วยข้อมูลเบื้องต้นที่สุดของสถานศึกษา เช่น ปก คำนำ สารบัญ และที่สำคัญคือ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเปรียบเสมือนการย่อภาพรวมทั้งหมดของรายงานทั้งฉบับไว้ในหน้าเดียว ต้องเขียนให้กระชับ ชัดเจน และทรงพลัง แสดงให้เห็นถึงภาพรวมคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียน จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา และแนวทางการพัฒนาในอนาคตอย่างสังเขป ผู้ประเมินภายนอกจำนวนมากมักจะอ่านส่วนนี้เป็นอันดับแรกเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดก่อนจะเจาะลึกในรายละเอียดต่อไป
ส่วนที่หนึ่ง คือ ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษา ส่วนนี้เป็นการให้ข้อมูลทั่วไปแต่จำเป็น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของโรงเรียนได้อย่างชัดเจน ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อ ที่ตั้ง สังกัด ระดับที่เปิดสอน ข้อมูลผู้บริหารและบุคลากร จำนวนนักเรียน แยกตามระดับชั้นและเพศ ข้อมูลด้านอาคารสถานที่ สภาพชุมชนโดยรอบ แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบล่าสุด และรางวัลหรือผลงานดีเด่นที่สถานศึกษาได้รับในรอบปีที่ผ่านมา การนำเสนอข้อมูลส่วนนี้ควรใช้ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิประกอบเพื่อให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ
ส่วนที่สอง ซึ่งเป็นหัวใจของรายงาน คือ ผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา ในส่วนนี้จะเป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานและการประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 มาตรฐานหลัก ได้แก่
มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียน มาตรฐานนี้จะมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนโดยตรง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการจัดการศึกษา การนำเสนอข้อมูลในส่วนนี้ต้องแสดงให้เห็นพัฒนาการของผู้เรียนใน 2 มิติหลัก คือ ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน สำหรับผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ไม่ได้หมายถึงแค่คะแนน O-NET หรือผลการทดสอบระดับชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการอ่าน การเขียน การสื่อสาร การคิดคำนวณ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การสร้างสรรค์นวัตกรรม และผลสัมฤทธิ์จากการเรียนรู้ตามหลักสูตรในกลุ่มสาระต่างๆ ส่วนคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จะครอบคลุมถึงคุณลักษณะและค่านิยมที่ดีตามที่สถานศึกษากำหนด ความภูมิใจในท้องถิ่นและความเป็นไทย การยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม และสุขภาวะทางร่างกายและจิตใจที่ดี การเขียนในส่วนนี้ต้องระบุชัดเจนถึงกระบวนการพัฒนาผู้เรียน กิจกรรม/โครงการที่จัดขึ้น และแสดงข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อสนับสนุน เช่น ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้น จำนวนนักเรียนที่ได้รับรางวัล หรือเรื่องเล่าความสำเร็จของผู้เรียนที่น่าประทับใจ
มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ มาตรฐานนี้จะสะท้อนประสิทธิภาพของการทำงานของผู้บริหารและคณะกรรมการสถานศึกษา ว่ามีส่วนช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาได้ดีเพียงใด ประเด็นที่ต้องนำเสนอจะครอบคลุมตั้งแต่ การมีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่ชัดเจน การมีระบบบริหารจัดการคุณภาพที่เข้มแข็ง การดำเนินงานพัฒนาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้าน การพัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างปลอดภัย ไปจนถึงการจัดระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการเรียนรู้ การเขียนในส่วนนี้ต้องแสดงให้เห็นถึง “ระบบ” และ “กระบวนการ” ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การบอกว่า “ทำอะไร” แต่ต้องอธิบายว่า “ทำอย่างไร” และ “เกิดผลดีอย่างไร” เช่น การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานบุคคลทำให้ลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไร หรือการจัดทำแผนพัฒนาครูรายบุคคล (IDP) ส่งผลต่อการพัฒนาการสอนในชั้นเรียนอย่างไร
มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มาตรฐานนี้ถือเป็นกระจกสะท้อนการทำงานของ “คุณครู” โดยตรง เป็นการประเมินกระบวนการในห้องเรียนที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผู้เรียนตามมาตรฐานที่ 1 หัวใจสำคัญคือการจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือทำและเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง การใช้สื่อเทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย การบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก การตรวจสอบและประเมินผลผู้เรียนอย่างเป็นระบบ และการมีส่วนร่วมของครูและผู้เรียนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน หลักฐานที่นำมาสนับสนุนในส่วนนี้อาจจะเป็นแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ บันทึกหลังสอนที่สะท้อนการพัฒนา หรือผลการนิเทศการสอนจากเพื่อนครูและผู้บริหาร
ส่วนที่สาม คือ สรุปผลการประเมินและแนวทางการพัฒนาในอนาคต ส่วนนี้เป็นการรวบยอดทั้งหมดอีกครั้ง โดยสรุปจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาในแต่ละมาตรฐานอย่างชัดเจน อาจนำเสนอในรูปแบบของตาราง หรือการวิเคราะห์ SWOT Analysis (จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค) เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือการกำหนด แนวทางการพัฒนาในอนาคต และ ความต้องการช่วยเหลือ ซึ่งต้องมีความสอดคล้องกับผลการประเมินที่ได้ และสามารถนำไปจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการประจำปีในปีการศึกษาถัดไปได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่วนสุดท้าย คือ ภาคผนวก เป็นส่วนที่ใช้รวบรวมเอกสารหลักฐานอ้างอิงที่สำคัญ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลที่นำเสนอในรายงาน เช่น คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำ SAR สำเนาเกียรติบัตร รางวัลต่างๆ ตารางข้อมูลดิบ หรือรูปภาพกิจกรรม/โครงการสำคัญๆ ที่ไม่สามารถใส่ไว้ในเนื้อหาหลักได้ทั้งหมด
เทคนิคการรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงสู่รายงานที่มีคุณภาพ
การจัดทำ SAR ที่ดีเริ่มต้นจากการวางแผนและแต่งตั้งคณะทำงานที่มาจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการยอมรับและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับแต่ละมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ควรเก็บข้อมูลตลอดทั้งปี ไม่ใช่การรวบรวมตอนปลายปีเพียงอย่างเดียว หลักฐานที่ดีควรมีความหลากหลาย ทั้งเชิงปริมาณ (สถิติ, ร้อยละ, คะแนน) และเชิงคุณภาพ (เรื่องเล่า, กรณีศึกษา, ผลงาน, ภาพถ่าย, บทสัมภาษณ์)
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อแปลความหมายของตัวเลขและข้อมูลต่างๆ ให้กลายเป็นเรื่องราวที่สะท้อนคุณภาพของสถานศึกษา ต้องตอบให้ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้น “บอกอะไรเรา” “ดีหรือไม่ดีอย่างไร” และ “เป็นเพราะอะไร” การเขียนเนื้อหาในแต่ละมาตรฐานควรเริ่มต้นด้วยการสรุปภาพรวมของผลการดำเนินงานในมาตรฐานนั้นๆ จากนั้นจึงนำเสนอรายละเอียดของแต่ละประเด็นการพิจารณา พร้อมทั้ง “ร่องรอยหลักฐาน” ที่นำมาสนับสนุนอย่างชัดเจน ควรใช้ภาษาที่เป็นทางการแต่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป และพยายามเขียนให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานทั้งสาม เช่น การพัฒนาครูในมาตรฐานที่ 2 ส่งผลให้ครูจัดการเรียนรู้แบบใหม่ในมาตรฐานที่ 3 และท้ายที่สุดก็ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนที่สูงขึ้นในมาตรฐานที่ 1 การเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงและเห็นภาพเช่นนี้ จะทำให้รายงานมีพลังและน่าเชื่อถือมากกว่าการเขียนแยกเป็นส่วนๆ
ทำให้ SAR เป็นเอกสารที่มีชีวิต ไม่ใช่แค่เอกสารบนหิ้ง
สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำผลจากรายงาน SAR ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สถานศึกษาควรจัดเวทีเพื่อนำเสนอผลการประเมินตนเองให้แก่คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา จากนั้นจึงนำแนวทางการพัฒนาที่กำหนดไว้ใน SAR ไปบรรจุในแผนปฏิบัติการประจำปีถัดไป กำหนดผู้รับผิดชอบและกรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกจุดที่ต้องพัฒนาจะได้รับการแก้ไขและปรับปรุงอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อ SAR ถูกนำไปใช้อย่างจริงจังในวงจรการบริหารคุณภาพ มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าในการนำพาสถานศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศและสร้างคุณภาพที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เรียนได้อย่างแท้จริง การจัดทำ SAR จึงไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสในการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุดของทุกคนในสถานศึกษา
คู่มือจัดทำรายงานประเมินตนเองของสถานศึกษา แนวทางปฏิบัติและเทคนิคการจัดทำที่มีประสิทธิภาพ
คู่มือการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา – บทนำและความสำคัญ
การประเมินตนเองของสถานศึกษาเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการจัดการสถานศึกษาให้ดียิ่งขึ้น เป็นกระบวนการที่สถานศึกษาตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียน ชุมชน และสังคม การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สถานศึกษาได้มองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยกำหนดทิศทางและแผนการพัฒนาที่เหมาะสมในอนาคต
รายงานการประเมินตนเองช่วยให้สถานศึกษารับทราบสถานะปัจจุบันของคุณภาพการศึกษา และสามารถกำหนดเป้าหมายในการปรับปรุงพัฒนาการสอน และการจัดการในหลายด้าน เช่น การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร เป็นต้น นอกจากนี้ รายงานการประเมินตนเองยังเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครอง หน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้ามามีส่วนร่วมและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสถานศึกษา
ขั้นตอนและวิธีการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา
การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษามีหลายขั้นตอนที่สำคัญในการดำเนินการ ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อให้รายงานที่จัดทำมีความถูกต้อง ครอบคลุม และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสถานศึกษา ขั้นตอนสำคัญมีดังนี้
- การเก็บข้อมูล – เป็นขั้นตอนแรกที่สถานศึกษาต้องทำการรวบรวมข้อมูลทุกด้าน ทั้งในด้านการเรียนการสอน การบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากร และการใช้ทรัพยากรภายในสถานศึกษา ข้อมูลที่เก็บรวบรวมสามารถมาจากหลายแหล่ง เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถาม หรือการใช้แบบสอบถาม เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมทุกด้าน
- การวิเคราะห์ข้อมูล – เมื่อได้ข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบจุดแข็งและจุดอ่อนของสถานศึกษา การวิเคราะห์นี้ควรทำอย่างรอบคอบและมีการเปรียบเทียบกับมาตรฐานทางการศึกษาที่กำหนดไว้ เพื่อให้สามารถระบุประเด็นที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาได้อย่างชัดเจน
- การเขียนรายงาน – รายงานผลการประเมินตนเองควรเขียนให้เข้าใจง่ายและครอบคลุม มีเนื้อหาที่ชัดเจน แบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น บทสรุป จุดแข็ง จุดอ่อน แผนการพัฒนา และข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุง โดยรายงานควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย
- การนำเสนอและติดตามผล – หลังจากจัดทำรายงานเสร็จสิ้น ควรมีการนำเสนอผลการประเมินตนเองต่อคณะกรรมการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และในระยะยาวควรติดตามผลการพัฒนาเพื่อให้การดำเนินการมีความต่อเนื่อง
ประโยชน์และผลลัพธ์จากการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา
การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองนำมาซึ่งประโยชน์และผลลัพธ์ที่สำคัญสำหรับสถานศึกษา ทั้งในแง่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการบริหารจัดการภายในสถานศึกษา ประโยชน์สำคัญที่ได้รับจากการประเมินตนเองมีดังนี้
- การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน – การประเมินตนเองช่วยให้สถานศึกษารับรู้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของการเรียนการสอน ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนได้ตรงกับความต้องการของนักเรียน ส่งเสริมการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีและเน้นความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น
- การสร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมของชุมชน – เมื่อสถานศึกษามีการประเมินตนเองและเปิดเผยรายงานผลการประเมินอย่างโปร่งใส จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ปกครองและชุมชน เนื่องจากเห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การมีส่วนร่วมจากชุมชนช่วยให้สถานศึกษามีแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม
- การส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร – รายงานการประเมินตนเองช่วยให้ครูและบุคลากรมีแนวทางในการพัฒนาทักษะและความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถปรับปรุงวิธีการสอนหรือแนวทางการทำงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
- การสนับสนุนการบริหารจัดการที่เป็นระบบ – การประเมินตนเองทำให้สถานศึกษาสามารถจัดการภายในอย่างมีระบบ โดยกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สถานศึกษามีการจัดการที่ดีขึ้นในระยะยาว
การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สถานศึกษามีการพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร




