สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม แจกแนวข้อสอบวิชาการศึกษา
อ่านสอบบรรจุข้าราชการครูผู้ช่วย ออกสอบครูผู้ช่วย พร้อมเฉลย ไฟล์ PDF 200 ข้อ เฉลยอย่างละเอียด
สวัสดีท่านสมาชิกเพจ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่าน วันนี้ทีมงานเราได้นำแนวข้อสอบเกี่ยวกับวิชาการศึกษาในโลกออนไลน์ นำมาให้ท่านอ่านศึกษา ก่อนออกไปสอบสนามจริง
ข้อสอบมีจำนวน 200 ข้อ ประกอบไปด้วย
1. หลักสูตรและการสอน จำนวน 40 ข้อ
2. จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว จำนวน 30 ข้อ
3. การวัดและประเมินผล จำนวน 10 ข้อ
4. การวิจัยทางการศึกษา จำนวน 30 ข้อ
5. งานในหน้าที่ครูผู้ช่วย จำนวน 10 ข้อ
6. ทบทวนวิชาการศึกษา 100 ข้อ
แนวข้อสอบภาค ข วิชาการศึกษา สอบครูผู้ช่วย อัปเดตล่าสุด พร้อมเฉยละเอียด
การเดินทางสู่เส้นทางสายอาชีพ “ครู” คือความฝันของใครหลายคน และก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือการฝ่าด่านสนามสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็น “ครูผู้ช่วย” ให้สำเร็จ การเตรียมตัวที่ดีจึงเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางไปสู่เส้นชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ซึ่งมี วิชาการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญที่วัดความพร้อมและความเข้าใจในศาสตร์แห่งการเป็นครูอย่างแท้จริง บทความนี้จึงได้รวบรวมและเจาะลึกแนวข้อสอบวิชาการศึกษาที่มักพบในสนามสอบจริง ครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ พร้อมเฉลยและคำอธิบายอย่างละเอียด เพื่อให้ว่าที่ครูผู้ช่วยทุกท่านได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มศักยภาพและมั่นใจที่สุดก่อนเข้าสู่ห้องสอบ
การสอบวิชาการศึกษานั้นไม่ได้วัดเพียงแค่ความจำ แต่ยังวัดความเข้าใจและการนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงในห้องเรียน ดังนั้นการอ่านเพียงผิวเผินอาจไม่เพียงพอ เราต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของแต่ละทฤษฎี หลักการ และแนวคิดทางการศึกษา เพื่อให้สามารถวิเคราะห์โจทย์และเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดได้ เนื้อหาหลักที่มักจะออกสอบจะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของจิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ หลักสูตรและการสอน การวัดผลประเมินผล นวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปจนถึงความเป็นครูและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เรามาเริ่มต้นทบทวนและตะลุยโจทย์ไปพร้อมๆ กันเลย
เริ่มต้นกันที่หมวดจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว ซึ่งเป็นรากฐานของการทำความเข้าใจผู้เรียนในทุกมิติ ทั้งในด้านพัฒนาการทางสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม การเข้าใจธรรมชาติของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัยจะช่วยให้ครูสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมและส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนได้อย่างเต็มที่
ข้อที่ 1. ครูสมศรีต้องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ตามทฤษฎีของเพียเจต์ (Piaget) ครูสมศรีควรเลือกจัดกิจกรรมในข้อใดจึงจะเหมาะสมกับพัฒนาการของนักเรียนมากที่สุด
ก. ให้นักเรียนอภิปรายเชิงนามธรรมในหัวข้อ “ความยุติธรรมในสังคม”
ข. ให้นักเรียนทดลองผสมสีจากแม่สี 3 สี แล้วสังเกตผลที่เกิดขึ้น พร้อมบันทึกผล
ค. ให้นักเรียนอ่านบทความปรัชญาและสรุปแนวคิดสำคัญของผู้เขียน
ง. ให้นักเรียนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์โลกร้อนและออกแบบวิธีการพิสูจน์
เฉลย ข้อ ข.
คำอธิบาย: ตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของฌอง เพียเจต์ เด็กในวัยประถมศึกษา (อายุประมาณ 7-11 ปี) จะอยู่ในขั้น Concrete Operational Stage ซึ่งมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือสิ่งที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ เด็กในวัยนี้จะยังไม่สามารถคิดเรื่องที่เป็นนามธรรมซับซ้อนได้ดีนัก ดังนั้น กิจกรรมการทดลองผสมสี (ข้อ ข) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง สังเกตผลที่เกิดขึ้นจริง จึงสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กวัยนี้มากที่สุด ส่วนข้อ ก, ค, และ ง เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้การคิดเชิงนามธรรม (Formal Operational Stage) ซึ่งเหมาะกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษามากกว่า
ข้อที่ 2. นักเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียนของครูมานะมักจะขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก และมักจะพูดว่า “ผมทำไม่ได้หรอกครับ” อยู่เสมอ หากครูมานะต้องการใช้แนวคิด Zone of Proximal Development (ZPD) ของ Vygotsky เพื่อช่วยเหลือนักเรียนคนดังกล่าว ครูมานะควรทำอย่างไร
ก. ปล่อยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ
ข. มอบหมายงานที่ยากที่สุดในชั้นเรียนให้ทำ เพื่อท้าทายความสามารถ
ค. ให้คำแนะนำ ชี้แนะ และช่วยเหลือในระดับที่พอเหมาะเมื่องานนั้นยากเกินความสามารถของนักเรียนเล็กน้อย
ง. ตำหนิที่นักเรียนขาดความพยายามและเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนเก่งกว่า
เฉลย ข้อ ค.
คำอธิบาย: แนวคิด Zone of Proximal Development (ZPD) ของเลฟ วีก็อตสกี หมายถึงระยะห่างระหว่างสิ่งที่ผู้เรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง และสิ่งที่ผู้เรียนสามารถทำได้สำเร็จหากได้รับการช่วยเหลือหรือคำชี้แนะจากผู้ที่มีความรู้มากกว่า (More Knowledgeable Other – MKO) ซึ่งอาจเป็นครูหรือเพื่อนก็ได้ ดังนั้นการที่ครูมานะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ชี้แนะ (Scaffolding) ในระดับที่พอเหมาะกับงานที่ท้าทายความสามารถของนักเรียนเพียงเล็กน้อย (ข้อ ค) จะช่วยดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาและสร้างความสำเร็จเล็กๆ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในที่สุด การปล่อยปละละเลย (ข้อ ก) หรือให้งานที่ยากเกินไป (ข้อ ข) อาจทำให้นักเรียนรู้สึกท้อแท้และล้มเหลว ส่วนการตำหนิ (ข้อ ง) เป็นการทำลายกำลังใจและไม่ใช่วิธีการทางการศึกษาที่ถูกต้อง
ต่อไปเป็นหมวดหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวของการจัดการศึกษา กำหนดว่าผู้เรียนจะเรียนรู้อะไร เรียนรู้เพื่ออะไร และเรียนรู้อย่างไร ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (และฉบับปรับปรุง) เพื่อนำไปสู่การออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
ข้อที่ 3. ข้อใดคือลักษณะที่สำคัญที่สุดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่สะท้อนถึงการกระจายอำนาจให้สถานศึกษามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ก. กำหนดรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนตายตัว
ข. มีความเป็นเอกภาพ โดยกำหนดเนื้อหาสาระที่ทุกโรงเรียนทั่วประเทศต้องสอนเหมือนกันทุกประการ
ค. กำหนดโครงสร้างเวลาเรียนและมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดเป็นกรอบกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมและจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามบริบทและความต้องการ
ง. เน้นการประเมินผลที่ส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินการสอบ O-NET เพียงอย่างเดียวเพื่อวัดมาตรฐาน
เฉลย ข้อ ค.
คำอธิบาย: หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของหลักสูตรแกนกลางฯ 2551 คือการส่งเสริมการกระจายอำนาจทางการศึกษา โดยส่วนกลางจะกำหนดเพียง “กรอบ” ที่สำคัญ เช่น มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดชั้นปี (ข้อ ค) เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพขั้นต่ำที่นักเรียนทุกคนพึงได้รับ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สถานศึกษาสามารถพัฒนา “หลักสูตรสถานศึกษา” ของตนเองได้ โดยการจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมที่สอดคล้องกับบริบท ความต้องการของท้องถิ่น หรือความถนัดของผู้เรียน รวมถึงการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและการมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในการออกแบบการเรียนรู้
มาถึงหมวดการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมทางการศึกษา ในยุคปัจจุบัน ครูไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” (Facilitator) ที่สามารถออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์
ข้อที่ 4. ครูสุชาติกำลังสอนเรื่อง “วัฏจักรของน้ำ” ในชั้น ป.5 เขาให้นักเรียนแบ่งกลุ่มสืบค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต และคลิปวิดีโอ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มสร้างแบบจำลองวัฏจักรของน้ำด้วยวัสดุเหลือใช้ แล้วนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนโดยใช้แอปพลิเคชัน Canva ในการสรุปความรู้ วิธีการสอนของครูสุชาติสอดคล้องกับรูปแบบการสอนในข้อใดมากที่สุด
ก. การสอนแบบบรรยาย (Lecture)
ข. การสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)
ค. การสอนแบบท่องจำ (Rote Learning)
ง. การสอนแบบสาธิต (Demonstration)
เฉลย ข้อ ข.
คำอธิบาย: การจัดการเรียนรู้ของครูสุชาติมีลักษณะสำคัญของ Project-Based Learning (PBL) อย่างชัดเจน (ข้อ ข) กล่าวคือ 1) ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง (สร้างแบบจำลอง) 2) มีการบูรณาการความรู้และทักษะหลายด้าน (สืบค้น, สร้างสรรค์, นำเสนอ, ใช้เทคโนโลยี) 3) ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม 4) เกิดผลผลิตหรือชิ้นงานที่จับต้องได้ (แบบจำลองและไฟล์นำเสนอ) และ 5) เป็นการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการและมีปัญหาหรือหัวข้อเป็นตัวตั้งต้น (วัฏจักรของน้ำ) ซึ่งแตกต่างจากการบรรยายที่ครูเป็นผู้พูดฝ่ายเดียว (ข้อ ก) การท่องจำ (ข้อ ค) หรือการที่ครูแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง (ข้อ ง)
ข้อที่ 5. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของ “ห้องเรียนกลับด้าน” (Flipped Classroom)
ก. นักเรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนล่วงหน้าผ่านวิดีโอหรือสื่อที่ครูจัดเตรียมให้จากที่บ้าน
ข. เวลาในชั้นเรียนถูกใช้ไปกับการทำกิจกรรม การอภิปราย การทำโจทย์ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
ค. ครูทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบในชั่วโมงเรียน
ง. ครูเป็นผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มเมื่อนักเรียนพบปัญหาในชั้นเรียน
เฉลย ข้อ ค.
คำอธิบาย: แนวคิดหลักของห้องเรียนกลับด้านคือการ “กลับ” กิจกรรมที่เคยทำในห้องเรียนไปทำที่บ้าน และนำกิจกรรมที่เคยเป็นการบ้านมาทำในห้องเรียน ดังนั้น นักเรียนจะเรียนรู้เนื้อหาพื้นฐานด้วยตนเองผ่านสื่อต่างๆ มาก่อน (ข้อ ก) และใช้เวลาในชั้นเรียนอันมีค่าไปกับกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการคิดขั้นสูงโดยมีครูคอยช่วยเหลือ (ข้อ ข และ ง) ดังนั้น การที่ครูทำหน้าที่บรรยายเนื้อหาทั้งหมดในห้องเรียน (ข้อ ค) จึงเป็นลักษณะของห้องเรียนแบบดั้งเดิม (Traditional Classroom) และขัดกับหลักการของห้องเรียนกลับด้านอย่างสิ้นเชิง
หมวดการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การวัดผลที่ดีย่อมสะท้อนผลการเรียนรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน และสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาการสอนและพัฒนาผู้เรียนได้ตรงจุด ข้อสอบมักจะเน้นความเข้าใจระหว่างการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) และการประเมินเพื่อตัดสินผล (Summative Assessment) รวมถึงความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือของเครื่องมือวัดผล
ข้อที่ 6. ในระหว่างหน่วยการเรียนรู้เรื่อง “การบวกเลขทศนิยม” ครูสมชายได้ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดสั้นๆ ท้ายชั่วโมงทุกวัน และเดินดูการทำงานของนักเรียนพร้อมให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดทันที การกระทำของครูสมชายเป็นการประเมินผลในลักษณะใด
ก. การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน (Summative Assessment)
ข. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ค. การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Formative Assessment)
ง. การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)
เฉลย ข้อ ค.
คำอธิบาย: การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หรือ Formative Assessment (ข้อ ค) คือการประเมินที่เกิดขึ้น “ระหว่าง” การจัดการเรียนการสอน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าและปัญหาของนักเรียน เพื่อที่ครูจะได้นำข้อมูลนั้นมาปรับปรุงการสอนของตนเองและให้ความช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ซึ่งตรงกับการกระทำของครูสมชายที่ใช้แบบฝึกหัดสั้นๆ และการให้ Feedback เพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ส่วน Summative Assessment (ข้อ ก) มักเป็นการประเมินเมื่อสิ้นสุดหน่วยการเรียนหรือปลายภาคเรียนเพื่อตัดสินผล เช่น การสอบปลายภาค
สุดท้ายคือหมวดความเป็นครู คุณธรรม จริยธรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ค้ำจุนวิชาชีพครูให้คงอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ข้อสอบมักจะออกในเชิงสถานการณ์เพื่อวัดวุฒิภาวะและการตัดสินใจบนพื้นฐานของจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมถึงความรู้ความเข้าใจในกฎหมายการศึกษาที่สำคัญ
ข้อที่ 7. ครูประจำชั้นพบว่านักเรียนคนหนึ่งมีรอยฟกช้ำตามร่างกายบ่อยครั้ง และมีพฤติกรรมหวาดกลัวเมื่อพูดถึงผู้ปกครอง ครูควรดำเนินการอย่างไรเป็นอันดับแรกตามหลักจรรยาบรรณและกฎหมายคุ้มครองเด็ก
ก. โพสต์เรื่องราวดังกล่าวลงในโซเชียลมีเดียเพื่อขอความช่วยเหลือจากสังคม
ข. เรียกผู้ปกครองมาตำหนิอย่างรุนแรงที่โรงเรียน
ค. เพิกเฉย เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวของนักเรียน
ง. แจ้งผู้บริหารสถานศึกษาทราบ และประสานงานกับทีมสหวิชาชีพหรือเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความช่วยเหลือ
เฉลย ข้อ ง.
คำอธิบาย: เมื่อครูสงสัยว่าเด็กอาจถูกกระทำความรุนแรงจากครอบครัว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการคำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเด็กตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ครูมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุให้ผู้บริหารหรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทราบ และดำเนินการตามช่องทางที่ถูกต้อง (ข้อ ง) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ การโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย (ข้อ ก) เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเด็กและครอบครัว อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง การเรียกผู้ปกครองมาตำหนิ (ข้อ ข) อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดและอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนการเพิกเฉย (ข้อ ค) ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่และจรรยาบรรณของครูอย่างร้ายแรง
การเตรียมตัวสอบครูผู้ช่วยวิชาการศึกษานั้นต้องอาศัยทั้งความขยัน ความเข้าใจ และการฝึกฝนทำโจทย์อย่างสม่ำเสมอ ขอให้ว่าที่ครูทุกท่านลองนำแนวข้อสอบและคำอธิบายเหล่านี้ไปทบทวนเพื่อจับประเด็นสำคัญของแต่ละเรื่อง พยายามอย่าท่องจำเป็นข้อๆ แต่ให้ทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลัง เพราะในสนามสอบจริง โจทย์อาจมีการพลิกแพลงไปบ้าง แต่แก่นของความรู้ยังคงเป็นสิ่งเดิม การเดินทางครั้งนี้อาจจะเหนื่อยและท้าทาย แต่ปลายทางนั้นคือการได้สร้างคน สร้างอนาคตของชาติ ซึ่งเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจอย่างที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้ว่าที่ครูผู้ช่วยทุกท่านประสบความสำเร็จในการสอบและได้ทำตามความฝันของตนเองครับ
รวมแนวข้อสอบภาค ข วิชาการศึกษา ครูผู้ช่วย ครอบคลุมทุกเนื้อหา พร้อมคำอธิบายเฉลย
“แนวข้อสอบภาค ข วิชาการศึกษา สำหรับการสอบครูผู้ช่วย” สามารถแบ่งเป็น ๓ บทความได้ดังนี้ เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาหลักในการเตรียมตัวสอบครูผู้ช่วย
ความรู้พื้นฐานด้านการศึกษาและจิตวิทยาเพื่อการเรียนการสอน
เนื้อหา:
การสอบภาค ข สำหรับครูผู้ช่วย เน้นความเข้าใจพื้นฐานในด้านการศึกษาและจิตวิทยาที่ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเป็นครู บทความนี้จะครอบคลุมหัวข้อที่ออกสอบบ่อย ได้แก่
- ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยา – ทฤษฎีของพาฟลอฟ (การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข), สกินเนอร์ (การเสริมแรง) และพีอาเจต์ (พัฒนาการทางสติปัญญา)
- พัฒนาการตามช่วงวัย – ความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา
- หลักการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน – รูปแบบการสอนที่เน้นการปฏิบัติ, การสอนแบบโครงงาน, และการจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ
ตัวอย่างข้อสอบ:
ข้อที่ 1: ข้อใดไม่ใช่หลักการเรียนรู้ของพีอาเจต์
ก. ความคงเส้นคงวาของการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัย
ข. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมตามสภาวะแวดล้อม
ค. การสร้างโครงสร้างความรู้ใหม่
ง. การสร้างสมดุลของการเรียนรู้
เฉลย: ข้อ ข
กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการสอน
เนื้อหา:
ความรู้เรื่องกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติงานของครู เช่น พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ บทความนี้เน้นหัวข้อที่ครูควรทราบ ได้แก่
- พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ – หลักการและแนวทางในการจัดการศึกษาของประเทศ รวมถึงบทบาทของครู
- จรรยาบรรณและคุณธรรมของครู – การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของครู และหลักจริยธรรมในการสอน
- กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องผู้เรียน – กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็ก และการดำเนินงานในสถานศึกษา
ตัวอย่างข้อสอบ:
ข้อที่ 1: ข้อใดกล่าวถึงหลักการของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติได้ถูกต้อง
ก. ครูมีหน้าที่พัฒนาผู้เรียนเพียงด้านวิชาการ
ข. มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ค. การศึกษาเพื่อส่งเสริมการแข่งขันด้านวิชาการ
ง. การพัฒนาผู้เรียนโดยเน้นเฉพาะด้านวินัย
เฉลย: ข้อ ข
การประยุกต์ใช้สื่อและเทคโนโลยีในห้องเรียน
เนื้อหา:
ในยุคปัจจุบัน การนำเทคโนโลยีและสื่อการเรียนรู้มาใช้ในห้องเรียนเป็นเรื่องสำคัญ บทความนี้จะอธิบายแนวทางการใช้เทคโนโลยีในการสอน และเทคนิคการจัดการสื่อการเรียนรู้ เช่น
- หลักการเลือกใช้สื่อการสอน – การเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับชั้นของผู้เรียน
- เทคโนโลยีที่ใช้ในการสอน – เครื่องมือเช่น คอมพิวเตอร์, อินเทอร์เน็ต, โปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมการเรียนรู้
- การออกแบบสื่อการเรียนรู้ – แนวทางในการจัดทำบทเรียนออนไลน์ และการใช้โปรแกรมช่วยสอน
ตัวอย่างข้อสอบ:
ข้อที่ 1: ข้อใดเป็นเหตุผลสำคัญในการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนการสอน
ก. ช่วยให้ครูมีเวลาเพิ่มขึ้น
ข. เพิ่มความน่าสนใจและกระตุ้นการเรียนรู้
ค. ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ง. ช่วยในการบันทึกการเรียนรู้แบบอัตโนมัติ
เฉลย: ข้อ ข
หัวข้อเหล่านี้ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญที่จะช่วยผู้เตรียมสอบครูผู้ช่วยเข้าใจแนวทางการออกข้อสอบภาค ข อย่างครอบคลุมและเป็นระบบ
ตัวอย่างข้อสอบวิชาการศึกษา พร้อมเฉลย ไฟล์ PDF
