สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลด เป็นไฟล์งานวิจัยในชั้นเรียนที่สอดคล้องกับ วPA ซึ่งคุณครูสามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างและแนวทางในการเขียนงานวิจัยในชั้นเรียนได้ ขอแนะนำไฟล์เอกสารครับ
ขอแนะนำไฟล์เอกสาร งานวิจัยในชั้นเรียนที่สอดคล้องกับ วPA ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้

พลิกโฉมห้องเรียนสู่ความเป็นเลิศ คู่มือทำวิจัยในชั้นเรียนฉบับสมบูรณ์ พิชิตวิทยฐานะ วPA
ในยุคที่การศึกษาไทยกำลังก้าวสู่มิติใหม่ เกณฑ์การประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “วPA” (Performance Agreement) ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการสอนของครูทุกคน ไม่ใช่แค่การประเมินเพื่อเลื่อนขั้นหรือคงวิทยฐานะ แต่ วPA คือกระจกสะท้อนการทำงานที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม และหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่จะทำให้คุณครูทุกท่านบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงในการพัฒนางานได้อย่างสง่างามก็คือ “งานวิจัยในชั้นเรียน” หลายท่านอาจรู้สึกว่างานวิจัยเป็นเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน และเป็นภาระเพิ่มเติมจากงานสอนที่หนักหน่วงอยู่แล้ว แต่บทความนี้จะแสดงให้เห็นว่า งานวิจัยในชั้นเรียนไม่เพียงแต่ไม่ใช่อุปสรรค แต่ยังเป็นบันไดขั้นสำคัญที่เชื่อมโยงการปฏิบัติงานในห้องเรียนเข้ากับเกณฑ์ วPA ได้อย่างลงตัวที่สุด เป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนปัญหาหน้างานให้กลายเป็นผลงานทางวิชาการที่น่าภาคภูมิใจ และที่สำคัญที่สุด คือการยกระดับคุณภาพผู้เรียนได้อย่างยั่งยืน
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของ วPA ให้ตรงกันก่อน ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement) ไม่ใช่แค่การกรอกเอกสาร แต่คือสัญญาที่ครูทำกับผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นว่าตลอดปีการศึกษานั้น เราจะพัฒนางานในหน้าที่ความรับผิดชอบของเราอย่างไร โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนที่หนึ่ง คือข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง ซึ่งก็คืองานในหน้าที่ที่ครูปฏิบัติเป็นปกติ ทั้งภาระงานสอนและงานส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ ส่วนที่สอง ซึ่งเป็นส่วนที่บทความนี้จะเน้นย้ำ คือ ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็น “ประเด็นท้าทาย” เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ส่วนนี้เองที่เป็นเวทีแจ้งเกิดของงานวิจัยในชั้นเรียนอย่างแท้จริง ประเด็นท้าทายไม่ใช่การคิดเรื่องใหม่ที่ไกลตัว แต่คือการหยิบยกปัญหาหรือจุดที่ต้องการพัฒนาซึ่งเกิดขึ้นจริงในห้องเรียนของเรา มาตั้งเป็นโจทย์ในการทำงานตลอดทั้งปีการศึกษา และกระบวนการค้นหาคำตอบเพื่อแก้โจทย์นั้น ก็คือกระบวนการทำวิจัยในชั้นเรียนนั่นเอง
หัวใจของการทำวิจัยในชั้นเรียนที่สอดคล้องกับ วPA คือการเริ่มต้นจากปัญหาของผู้เรียน ไม่ใช่การเริ่มต้นจากความต้องการของครู ลองสำรวจห้องเรียนของคุณดูสิครับ นักเรียนมีปัญหาในการอ่านจับใจความหรือไม่ พวกเขาขาดทักษะการคิดคำนวณในเรื่องใดเป็นพิเศษ ขาดแรงจูงใจในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ หรือไม่กล้าแสดงออกในการนำเสนอหน้าชั้นเรียน ปัญหาเหล่านี้คือ “ขุมทรัพย์” สำหรับการตั้งประเด็นท้าทายใน วPA ของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและไม่สามารถอธิบายกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ ประเด็นท้าทายของคุณอาจตั้งขึ้นว่า “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสง และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับชุดกิจกรรมการทดลองเสมือนจริง” จะเห็นได้ว่าประเด็นท้าทายนี้มีความชัดเจน ระบุกลุ่มเป้าหมาย (นักเรียน ป.6) ตัวแปรที่ต้องการพัฒนา (ผลสัมฤทธิ์และทักษะกระบวนการฯ) และนวัตกรรมหรือวิธีการที่จะนำมาใช้ (การเรียนรู้แบบ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรมฯ)
เมื่อได้ประเด็นท้าทายที่คมชัดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบกระบวนการพัฒนางาน ซึ่งก็คือระเบียบวิธีวิจัยในชั้นเรียนนั่นเอง กระบวนการนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันคือวงจรการทำงานที่เป็นระบบที่เรียกว่า “วงจรปฏิบัติการ” หรือ PAOR (Plan-Act-Observe-Reflect) เริ่มจากการวางแผน (Plan) คุณครูต้องออกแบบ “นวัตกรรม” หรือเครื่องมือที่จะใช้แก้ปัญหาตามประเด็นท้าทายที่ตั้งไว้ จากตัวอย่างข้างต้น นวัตกรรมก็คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E จำนวนกี่แผนก็ว่าไป และชุดกิจกรรมการทดลองเสมือนจริงที่คุณครูอาจสร้างขึ้นเองหรือนำแอปพลิเคชันที่มีอยู่มาปรับใช้ นอกจากนวัตกรรมแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องออกแบบควบคู่กันไปคือ “เครื่องมือวัดผลและประเมินผล” ซึ่งต้องสอดคล้องกับสิ่งที่คุณต้องการวัดในประเด็นท้าทาย เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน (Pre-test/Post-test) เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อวัดทักษะที่เกิดขึ้นระหว่างการทำกิจกรรม และแบบสอบถามความพึงพอใจ เพื่อวัดเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อนวัตกรรมของเรา การมีเครื่องมือวัดผลที่ชัดเจนและหลากหลาย จะทำให้ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ตัวชี้วัดใน วPA ได้อย่างครบถ้วน
ขั้นตอนถัดมาคือการลงมือปฏิบัติ (Act) และการสังเกตการณ์ (Observe) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นในห้องเรียนจริง คุณครูนำแผนการสอนและนวัตกรรมที่ออกแบบไว้ไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ระหว่างนี้คือช่วงเวลาของการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคะแนนแบบทดสอบ การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนขณะทำกิจกรรมโดยใช้แบบประเมินที่เตรียมไว้ การบันทึกคำพูดที่น่าสนใจของนักเรียน หรือการถ่ายภาพและวิดีโอบรรยากาศการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่จะยืนยันความสำเร็จของการพัฒนางานตามข้อตกลงของคุณครู กระบวนการนี้ควรทำอย่างเป็นธรรมชาติ สอดแทรกไปกับการสอนปกติ ไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่ตึงเครียด เพราะหัวใจของการวิจัยในชั้นเรียนคือการพัฒนาการเรียนรู้ในบริบทจริง
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเก็บข้อมูลแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของวงจร นั่นคือการสะท้อนผล (Reflect) หรือการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัยนั่นเอง คุณครูนำข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากแบบทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติอย่างง่าย เช่น ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) หรือการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนดีขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะเดียวกัน ก็นำข้อมูลเชิงคุณภาพจากแบบสังเกตพฤติกรรมหรือแบบบันทึก มาวิเคราะห์เนื้อหาเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนในมิติอื่นๆ เช่น ความกระตือรือร้น ความกล้าแสดงออก หรือความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ จะถูกนำมาเขียนสรุปเป็นรายงานการวิจัยในชั้นเรียน 5 บทที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งรายงานฉบับสมบูรณ์นี้เอง คือหลักฐานชิ้นเอกที่จะนำไปกรอกในแบบรายงานผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (แบบ PA2) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความสวยงามของการเชื่อมโยงงานวิจัยในชั้นเรียนเข้ากับ วPA อยู่ตรงนี้ครับ ทุกองค์ประกอบของรายงานการวิจัย สามารถนำไปใส่ในแบบฟอร์ม วPA ได้โดยตรง “ชื่อเรื่องวิจัย” ของคุณ ก็คือ “ประเด็นท้าทาย” “บทที่ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา” ก็คือส่วนที่อธิบายสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนา “บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย” ก็คือส่วนที่อธิบายวิธีการดำเนินงานและขั้นตอนโดยละเอียด และ “บทที่ 4 และ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล” ก็คือส่วนที่แสดง “ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง” ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพนั่นเอง จะเห็นได้ว่าเมื่อคุณครูทำวิจัยในชั้นเรียน 1 เรื่องอย่างเป็นระบบ เท่ากับคุณครูได้เตรียมข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดสำหรับ วPA ไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อน แต่เป็นการทำงานครั้งเดียวที่ตอบโจทย์ได้ทั้งการพัฒนาผู้เรียนและการประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น การทำวิจัยในชั้นเรียนยังส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่เข้มแข็งในโรงเรียนอีกด้วย คุณครูสามารถนำประเด็นปัญหาหรือผลการวิจัยที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูในกลุ่มสาระฯ หรือในระดับสายชั้น เพื่อร่วมกันสะท้อนความคิดและหาแนวทางการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นในวงจรต่อไป การทำงานลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความโดดเดี่ยวในการทำงานของครู แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของทั้งโรงเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญในมิติของการทำงานร่วมกับผู้อื่นตามเกณฑ์ วPA อีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว การมองงานวิจัยในชั้นเรียนให้เป็นเครื่องมือคู่ใจในการทำ วPA คือการปรับเปลี่ยนมุมมองจากการทำงานเพื่อ “ส่ง” ให้เป็นการทำงานเพื่อ “สร้าง” สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ จากการปฏิบัติงานในบริบทของตนเอง และสร้างเส้นทางการเติบโตในวิชาชีพครูอย่างมั่นคงและยั่งยืน ขอเพียงคุณครูเริ่มต้นจากการสำรวจปัญหาของผู้เรียนด้วยความใส่ใจ ตั้งโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของตนเอง ดำเนินการอย่างเป็นระบบ และพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยในชั้นเรียนก็จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกิจกรรมที่เติมเต็มจิตวิญญาณความเป็นครู และเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จในการประเมินวิทยฐานะ วPA ได้อย่างแน่นอน
การพัฒนาการเรียนรู้แบบสอดคล้องกับ วPA แนวทางการวิจัยในชั้นเรียน
ความสำคัญของงานวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนและพัฒนาคุณภาพการสอนของครู โดยการนำเอาแนวทางการวิจัยเข้ามาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน นักการศึกษาสามารถทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอน และพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้ดียิ่งขึ้น
การทำงานวิจัยในชั้นเรียนช่วยให้ครูสามารถวิเคราะห์และประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนได้อย่างเป็นระบบ โดยใช้เครื่องมือที่สอดคล้องกับ วPA เช่น การประเมินผลแบบต่อเนื่อง การให้ข้อเสนอแนะแก่นักเรียน และการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการสอนในอนาคต การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนได้อย่างเหมาะสม
แนวทางการดำเนินงานวิจัยในชั้นเรียน
การดำเนินงานวิจัยในชั้นเรียนสามารถทำได้โดยเริ่มจากการตั้งคำถามวิจัยที่ชัดเจน ซึ่งควรเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน จากนั้น นักการศึกษาสามารถใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อสำรวจและทดลองวิธีการใหม่ๆ ในการสอน
การเก็บรวบรวมข้อมูลควรทำในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน การสัมภาษณ์นักเรียนและผู้ปกครอง รวมถึงการใช้แบบสอบถาม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและมีความน่าเชื่อถือ เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล โดยครูควรพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการเรียนรู้ของนักเรียนและวิธีการสอนที่ใช้
การนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน
ผลการวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาการเรียนการสอน เพราะข้อมูลที่ได้จากการวิจัยจะช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในระดับที่กว้างขึ้น เช่น การพัฒนาแผนการสอนหลักสูตรใหม่ หรือการจัดอบรมครูเพื่อเสริมสร้างทักษะการสอนที่เหมาะสม
การเผยแพร่ผลการวิจัยสามารถทำได้ผ่านการจัดสัมมนา การเผยแพร่บทความในวารสารวิชาการ หรือการนำเสนอในที่ประชุม ซึ่งจะช่วยให้ครูและนักการศึกษาคนอื่นๆ ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้ในการสอนของตนเองได้
งานวิจัยในชั้นเรียนที่สอดคล้องกับ วPA เป็นกระบวนการที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยการนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนจะส่งผลดีต่อนักเรียนและสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เอกสารเป็นไฟล์ Word แก้ไขได้
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร





ขอบคุณแหล่งที่มา : คุณครูอัจฉรา เพ็งทา
ดาวน์โหลด ไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ
ขอบคุณแหล่งที่มา : คุณครูอัจฉรา เพ็งทา