สื่อฟรีออนไลน์.com
ขอแนะนำไฟล์ หนังสือพื้นฐานการวิจัยทางหลักสูตรและการสอน
เจาะลึกทุกมิติ คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อเข้าใจการวิจัยทางหลักสูตรและการสอนสำหรับนักการศึกษาไทย
การศึกษาเปรียบเสมือนลมหายใจของการพัฒนาชาติ และหัวใจของการศึกษาก็คือ “หลักสูตรและการสอน” สองสิ่งนี้เป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางว่าผู้เรียนจะได้เรียนรู้อะไร และเรียนรู้ได้อย่างไร แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลักสูตรและการสอนที่เคยดีที่สุดในวันวานอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในวันนี้อีกต่อไป คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังจัดการศึกษาอยู่นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุดและทันต่อยุคสมัย คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในการเดินทางที่เรียกว่า “การวิจัย” บทความนี้จะเปรียบเสมือนการเปิดอ่านหนังสือพื้นฐานการวิจัยทางหลักสูตรและการสอนเล่มหนา ชวนคุณดำดิ่งไปในทุกแง่มุมอย่างละเอียดที่สุด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเป็นรากฐานสำคัญสำหรับนักการศึกษา นักพัฒนาหลักสูตร และผู้ที่สนใจในการยกระดับการศึกษาของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปในโลกของการวิจัย เราต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของคำว่าหลักสูตรและการสอนให้ชัดเจนเสียก่อน หลักสูตร หรือ Curriculum ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รายชื่อวิชาที่ต้องเรียน หรือเอกสารที่ระบุว่าแต่ละเทอมต้องสอนอะไร แต่มันคือมวลประสบการณ์ทั้งหมดที่สถานศึกษาจัดให้แก่ผู้เรียน ทั้งในและนอกห้องเรียน ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งรวมถึงปรัชญาการศึกษา วิสัยทัศน์ของโรงเรียน วัตถุประสงค์ทางการเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ ไปจนถึงวิธีการวัดผลและประเมินผล เรียกได้ว่าเป็นแผนที่นำทางฉบับสมบูรณ์ของการจัดการศึกษา ส่วนการสอน หรือ Instruction คือกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอน ผู้เรียน และเนื้อหาวิชา เป็นศิลปะและศาสตร์ในการถ่ายทอดความรู้และจัดประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรวางไว้ การสอนที่ดีสามารถทำให้หลักสูตรที่ยอดเยี่ยมมีชีวิตขึ้นมาได้ ในทางกลับกัน การสอนที่ขาดประสิทธิภาพก็อาจทำให้หลักสูตรที่ดีที่สุดกลายเป็นเพียงกระดาษที่ไร้ความหมาย ดังนั้น หลักสูตรและการสอนจึงเป็นสองสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้เหมือนเหรียญสองด้าน การวิจัยในศาสตร์แขนงนี้จึงต้องมองภาพรวมของทั้งสองส่วนไปพร้อมกันเสมอ เพื่อให้เห็นภาพสะท้อนของความเป็นจริงทางการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุด
เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญแล้ว สิ่งต่อไปที่หนังสือพื้นฐานการวิจัยมักจะกล่าวถึงคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องทำการวิจัยในด้านนี้ การวิจัยไม่ใช่เพียงเรื่องของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่ทำเพื่อเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การวิจัยช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหน้างานได้อย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนตกต่ำ ปัญหาการขาดแรงจูงใจในการเรียน หรือปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างสิ่งที่สอนกับความต้องการของตลาดแรงงาน การวิจัยจะช่วยให้เราค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาเหล่านั้น แทนที่จะแก้ไขด้วยความรู้สึกหรือการคาดเดา นอกจากนี้ การวิจัยยังเป็นหัวใจของการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการสอนแบบใหม่ เช่น Active Learning, Project-Based Learning หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานในการจัดการเรียนรู้ การวิจัยจะช่วยประเมินว่านวัตกรรมเหล่านั้นเหมาะสมกับบริบทของนักเรียนและโรงเรียนของเราหรือไม่ และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมจริงหรือเปล่า ที่สำคัญที่สุด การวิจัยทางหลักสูตรและการสอนยังเป็นกลไกในการตรวจสอบและประเมินผลนโยบายการศึกษาในระดับชาติ เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายที่ประกาศใช้นั้นสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนทั่วประเทศอย่างแท้จริง
ในการเริ่มต้นเส้นทางการวิจัย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือกระบวนทัศน์การวิจัย (Research Paradigm) ซึ่งเปรียบเสมือนแว่นตาที่เราใช้มองโลกและเป็นตัวกำหนดแนวทางการหาคำตอบของเรา โดยทั่วไปแล้วจะมีกระบวนทัศน์หลักๆ ที่นักวิจัยด้านหลักสูตรและการสอนนิยมใช้ หนึ่งคือการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซึ่งมีรากฐานมาจากปรัชญาปฏิฐานนิยมที่เชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวและสามารถวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ การวิจัยแนวนี้มุ่งเน้นการทดสอบทฤษฎี การหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล และการสรุปอ้างอิงผลไปยังประชากรกลุ่มใหญ่ เครื่องมือที่ใช้มักจะเป็นแบบสอบถาม แบบทดสอบ หรือการทดลองในห้องเรียนที่มีการควบคุมตัวแปรอย่างรัดกุม ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือการทดสอบสมมติฐาน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ตัวอย่างงานวิจัยเชิงปริมาณในด้านนี้คือ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบบรรยายกับกลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบโครงงาน หรือการสำรวจความคิดเห็นของครูทั่วประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรแกนกลาง
ในทางตรงกันข้าม สองคือการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งเติบโตมาจากปรัชญาการตีความที่เชื่อว่าความจริงทางสังคมนั้นซับซ้อน มีหลากหลายแง่มุม และขึ้นอยู่กับการตีความของผู้คนในบริบทนั้นๆ การวิจัยแนวนี้จึงไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัวเลข แต่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจปรากฏการณ์อย่างลึกซึ้ง การค้นหาความหมาย และการรับฟังเสียงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง เครื่องมือที่ใช้จึงเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ในชั้นเรียนอย่างมีส่วนร่วม การวิเคราะห์เอกสาร หรือการศึกษากรณีเฉพาะ (Case Study) ข้อมูลที่ได้มักจะเป็นข้อความถอดเทป คำบรรยายพฤติกรรม หรือภาพถ่าย ซึ่งนักวิจัยจะต้องนำมาวิเคราะห์ตีความเพื่อสร้างข้อสรุปเชิงพรรณนาที่เข้มข้นและมีรายละเอียด ตัวอย่างงานวิจัยเชิงคุณภาพคือ การศึกษาชีวิตของคุณครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลเพื่อทำความเข้าใจความท้าทายในการนำหลักสูตรไปใช้ หรือการสังเกตการณ์ปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรมเพื่อทำความเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย
นอกเหนือจากสองแนวทางหลักแล้ว ในปัจจุบันยังมีแนวทางที่สามที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับครูผู้ปฏิบัติงาน นั่นคือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปฏิบัติและการวิจัยเข้าด้วยกัน หัวใจของการวิจัยประเภทนี้ไม่ใช่การสร้างทฤษฎีสากล แต่เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนของตนเองโดยตรง กระบวนการนี้มีลักษณะเป็นวงจรต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการวางแผน (Plan) เพื่อแก้ไขปัญหาที่สนใจ ตามมาด้วยการลงมือปฏิบัติตามแผน (Act) จากนั้นจึงเป็นการสังเกตผลที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ (Observe) และสุดท้ายคือการไตร่ตรองสะท้อนคิด (Reflect) เพื่อประเมินผลและนำไปสู่การวางแผนในวงจรต่อไป การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้ครูกลายเป็นนักวิจัยในห้องเรียนของตนเอง สามารถพัฒนาการสอนของตนได้อย่างต่อเนื่องและเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนได้ทันที และเมื่อโลกแห่งการศึกษามีความซับซ้อนมากขึ้น นักวิจัยจำนวนมากจึงเลือกใช้แนวทางที่สี่คือ การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) ซึ่งเป็นการนำจุดแข็งของการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมาใช้ร่วมกันในงานวิจัยชิ้นเดียว เพื่อให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์และรอบด้านมากที่สุด เช่น อาจจะเริ่มต้นด้วยการสำรวจเชิงปริมาณเพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหา แล้วตามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเจาะลึกถึงสาเหตุและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
เมื่อเลือกแนวทางการวิจัยที่เหมาะสมได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือปฏิบัติในกระบวนการวิจัยอย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งหนังสือพื้นฐานทุกเล่มจะให้ความสำคัญกับส่วนนี้เป็นอย่างมาก จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดประเด็นปัญหาการวิจัย (Identifying a Research Problem) ปัญหาที่ดีมักจะมาจากความสงสัย ความสนใจ หรืออุปสรรคที่พบเจอในการทำงานจริง ควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ มีคุณค่าพอที่จะศึกษา และสามารถหาคำตอบได้ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร หลังจากได้ประเด็นปัญหาแล้ว ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้คือการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature Review) ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้างานวิจัยและทฤษฎีที่คนอื่นเคยทำไว้ในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้เรามีความรู้พื้นฐานที่แน่นพอที่จะไม่ทำงานวิจัยซ้ำซ้อนกับคนอื่น และยังช่วยให้เรามองเห็นช่องว่างของความรู้ที่ยังไม่มีใครเคยศึกษา ซึ่งจะกลายมาเป็นความโดดเด่นในงานวิจัยของเรา นอกจากนี้ การทบทวนวรรณกรรมยังช่วยให้เราสามารถกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยและตั้งคำถามการวิจัย (Research Questions) หรือสมมติฐาน (Hypotheses) ที่แหลมคมและชัดเจนได้
ขั้นตอนถัดมาคือการออกแบบการวิจัย (Research Design) ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่บอกรายละเอียดทั้งหมดว่าเราจะเก็บข้อมูลจากใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร จะต้องมีการกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างให้ชัดเจนว่าจะศึกษาใคร และจะเลือกคนเหล่านั้นมาได้อย่างไรด้วยวิธีการสุ่มหรือไม่สุ่ม จากนั้นคือการสร้างหรือเลือกเครื่องมือวิจัย (Research Instruments) ที่มีคุณภาพ เช่น แบบสอบถามที่มีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ หรือแนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์ที่ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษา เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) ซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวังและมีจรรยาบรรณ โดยเฉพาะการขออนุญาตจากผู้เข้าร่วมวิจัย (Informed Consent) และการรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคล หลังจากได้ข้อมูลมาครบถ้วนแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนที่ท้าทายที่สุดคือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) ซึ่งมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามประเภทของการวิจัย หากเป็นข้อมูลเชิงปริมาณก็จะต้องใช้โปรแกรมทางสถิติในการวิเคราะห์ แต่หากเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพก็จะต้องใช้เทคนิคการตีความ เช่น การวิเคราะห์เนื้อหา หรือการวิเคราะห์แก่นสาระ และสุดท้ายคือการสรุปผล อภิปรายผล และให้ข้อเสนอแนะ (Conclusion, Discussion, and Recommendations) ซึ่งเป็นการนำเสนอสิ่งที่ค้นพบ เปรียบเทียบกับทฤษฎีและงานวิจัยที่ผ่านมา พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงนัยสำคัญของงานวิจัยว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง และมีข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคตอย่างไร
การเดินทางผ่านหน้ากระดาษของหนังสือพื้นฐานการวิจัยทางหลักสูตรและการสอนนี้ แสดงให้เห็นว่าการวิจัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือยากเกินความเข้าใจ แต่เป็นกระบวนการที่เป็นระบบและมีเหตุผล เป็นทักษะสำคัญที่นักการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ทุกคนพึงมี การเข้าใจในหลักการและกระบวนการเหล่านี้จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้เรามองเห็นห้องเรียนและโรงเรียนของเราในฐานะห้องปฏิบัติการที่มีชีวิต ที่ซึ่งเราสามารถทดลอง ค้นคว้า และพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันคือการเปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้หลักสูตรไปสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์และนักพัฒนาหลักสูตรและการสอนอย่างแท้จริง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่งดงามที่สุดของการเดินทางนี้ก็คือการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความหมายและมีคุณภาพสูงสุดให้แก่เด็กและเยาวชนไทย ซึ่งเป็นอนาคตของชาติต่อไป
การพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ แนวทางและแนวคิดในการวิจัย
การวิจัยทางหลักสูตรและการสอน ซึ่งครอบคลุมแนวคิดและหัวข้อที่สำคัญ
บทบาทของการวิจัยในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา
การวิจัยในด้านหลักสูตรการศึกษาเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาระบบการศึกษา เนื่องจากสามารถใช้ข้อมูลและผลการวิจัยมาช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้สอนเอง
การวิจัยทางหลักสูตรมีเป้าหมายเพื่อสำรวจความต้องการของผู้เรียนในบริบทที่แตกต่างกัน และทำให้หลักสูตรที่จัดขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยเชิงสำรวจที่ศึกษาความต้องการของผู้เรียนในเรื่องทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 พบว่าทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ควรนำมาบรรจุในหลักสูตรเพื่อเพิ่มโอกาสทางอาชีพและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
การวิจัยในด้านหลักสูตรเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลง การใช้งานผลการวิจัยในการออกแบบหลักสูตรจะช่วยให้การศึกษาไทยมีคุณภาพและมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น
วิธีการสอนที่สอดคล้องกับการวิจัยทางการศึกษา
การวิจัยทางการศึกษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิธีการสอนที่สอดคล้องกับหลักสูตรและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ โดยการศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มการเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถช่วยให้อาจารย์เลือกใช้วิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การวิจัยทางการศึกษามีหลากหลายรูปแบบ เช่น การศึกษาผลของการสอนแบบการมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบร่วมมือ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ซึ่งต่างก็มีผลดีต่อการพัฒนาทักษะและความสามารถของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสอนโดยใช้เทคโนโลยีช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างอิสระ การศึกษาทางด้านนี้ได้แสดงให้เห็นว่าวิธีการสอนแบบผสมผสาน เช่น การใช้บทเรียนออนไลน์ร่วมกับการบรรยายสด สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ของผู้เรียนได้มากขึ้น
การนำผลการวิจัยมาใช้ในการเลือกและปรับปรุงวิธีการสอนเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ผู้สอนควรใช้ข้อมูลการวิจัยเป็นแนวทางในการเลือกเทคนิคและวิธีการสอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เรียนในยุคปัจจุบัน
การวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ในหลักสูตร
ทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นทักษะที่จำเป็นในยุคสมัยใหม่ และการบูรณาการทักษะนี้ลงในหลักสูตรการศึกษาสามารถทำให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น การวิจัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์จึงเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบหลักสูตร
การวิจัยทางด้านนี้มีการนำเสนอหลายแนวทางในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ เช่น การใช้ปัญหาจากสถานการณ์จริง การวิเคราะห์กรณีศึกษา และการให้ผู้เรียนทำโครงการ ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ นอกจากนี้ การวิจัยยังได้แนะนำให้ผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนให้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและตั้งคำถาม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการวิเคราะห์เชิงลึกและการแสดงความคิดเห็นได้อย่างมั่นใจ
การวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ในหลักสูตร เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปรับตัวและคิดวิเคราะห์ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับทักษะเหล่านี้จะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถแข่งขันในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น
เครดิต : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนตรี วงษ์สะพาน
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร
เป็นไฟล์ PDF








ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ
ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร คลิกที่นี่
ขอบคุณแหล่งที่มา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนตรี วงษ์สะพาน