สื่อฟรีออนไลน์.com

ขอแนะนำไฟล์ รายงานผลการจัดกิจกรรมโครงการ”บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ระดับประถมศึกษา ปีการศึกษา 2565

ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ รายงานผลการจัดกิจกรรมโครงการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ระดับประถมศึกษา

โครงการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ได้เปิดโลกแห่งการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้กับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาทั่วประเทศไทยอย่างแท้จริง ด้วยการจัดกิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากทั้งนักเรียน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง การดำเนินโครงการในปีการศึกษา 2567 นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้มีความรู้ความเข้าใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ

การเริ่มต้นโครงการในเดือนมิถุนายน 2567 ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้สามารถขยายผลการดำเนินงานไปยังโรงเรียนในทุกภูมิภาคของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะการแก้ปัญหา และสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่เกินความคาดหมาย

ผลการดำเนินงานในด้านจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถสรุปได้ว่าประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก โดยมีนักเรียนระดับประถมศึกษาจากทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 89,247 คน จาก 2,156 โรงเรียน ใน 77 จังหวัด ซึ่งเกินเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 60,000 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 148.7 ของเป้าหมาย การมีส่วนร่วมของครูผู้สอนก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีครูจำนวน 12,834 คน เข้าร่วมกิจกรรมการอบรมและพัฒนาศักยภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจและความตั้งใจจริงในการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษา

การกระจายตัวของผู้เข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละภูมิภาคมีความสมดุลและครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยภาคกลางมีผู้เข้าร่วมมากที่สุด จำนวน 24,876 คน คิดเป็นร้อยละ 27.9 รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 22,341 คน คิดเป็นร้อยละ 25.0 ภาคเหนือ จำนวน 18,523 คน คิดเป็นร้อยละ 20.8 ภาคใต้ จำนวน 15,789 คน คิดเป็นร้อยละ 17.7 และภาคตะวันออก จำนวน 7,718 คน คิดเป็นร้อยละ 8.6 ตามลำดับ การกระจายตัวในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของเด็กไทยทุกภูมิภาค

กิจกรรมหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุด

กิจกรรม Science Camp หรือค่ายวิทยาศาสตร์ระยะสั้น เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากนักเรียนและครูผู้สอน โดยมีการจัดขึ้นทั้งหมด 156 ครั้ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ กิจกรรมนี้มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง (Hands-on Learning) ผ่านการทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียนประถมศึกษา เช่น การทดลองเรื่องการเปลี่ยนสถานะของน้ำ การสร้างภูเขาไฟจำลอง การทดลองเกี่ยวกับแสงและสี การศึกษาพืชและสัตว์ในท้องถิ่น และการสร้างเครื่องบินกระดาษแบบต่างๆ

โครงการแข่งขัน Young Scientist Thailand ได้จัดขึ้นในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงออกถึงความสามารถและความคิดสร้างสرรค์ในด้านวิทยาศาสตร์ การแข่งขันแบ่งออกเป็น 4 สาขา ได้แก่ สาขาการทดลองวิทยาศาสตร์ สาขาการประดิษฐ์คิดค้น สาขาการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ และสาขาการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันรวม 15,672 คน จาก 8,934 ทีม ผลงานที่ได้รับจากการแข่งขันมีคุณภาพสูงและสะท้อนถึงศักยภาพของเด็กไทยในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ

กิจกรรม Mobile Science Laboratory หรือห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เคลื่อนที่ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและด้อยโอกาสทั่วประเทศ จำนวน 342 โรงเรียน ด้วยการนำอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปให้นักเรียนได้สัมผัสและเรียนรู้ในพื้นที่ของตนเอง กิจกรรมนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนและท้องถิ่น เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเด็กในเมืองใหญ่

การพัฒนาครูผู้สอนอย่างต่อเนื่อง

โครงการได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของครูผู้สอนเป็นอย่างมาก เพราะตระหนักดีว่าครูคือกุญแจสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน การอบรมครูได้จัดขึ้นใน 5 รูปแบบหลัก ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการระยะสั้น 3 วัน การอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning การศึกษาดูงานในสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูในเครือข่าย และการติดตามผลและให้คำปรึกษาในพื้นที่

เนื้อหาการอบรมครูครอบคลุมทั้งด้านเนื้อหาวิชาการ วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน การประเมินผลแบบแท้จริง (Authentic Assessment) และการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) ผลการประเมินความพึงพอใจของครูผู้เข้าร่วมอบรมอยู่ในระดับดีมาก คือร้อยละ 94.3 และครูร้อยละ 89.7 สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างเครือข่ายครูวิทยาศาสตร์ประถมศึกษาได้ขยายผลไปยัง 15 ศูนย์เครือข่ายทั่วประเทศ โดยแต่ละศูนย์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสนับสนุนการจัดกิจกรรมในพื้นที่ และการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เครือข่ายนี้ได้กลายเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) ที่มีความเข้มแข็งและมีการแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน

การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่น่าประทับใจ โดยคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 68.4 คะแนน เป็น 79.2 คะแนน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.8 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังพบว่านักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยร้อยละ 87.5 ของนักเรียนแสดงความสนใจที่จะเรียนวิทยาศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น และร้อยละ 72.3 มีความมั่นใจในการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของนักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ผ่านการจัดกิจกรรมที่เน้นการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-based Learning) และการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-based Learning) นักเรียนเรียนรู้ที่จะตั้งคำถาม สร้างสมมติฐาน ออกแบบการทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล และสรุปผลการทดลอง ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ในการเรียนวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

การพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 เป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ที่สำคัญของโครงการ นักเรียนได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี และการเป็นผู้นำ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกของการทำงานในอนาคต การประเมินทักษะเหล่านี้ทำโดยการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ การประเมินโครงงาน และการสัมภาษณ์นักเรียน ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาในทิศทางที่เป็นบวกของนักเรียนทุกคน

ความร่วมมือจากชุมชนและผู้ปกครอง

ความสำเร็จของโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดการสนับสนุนจากชุมชนและผู้ปกครอง ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองอย่างดียิ่ง โดยมีผู้ปกครองจำนวน 34,567 คน เข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นอาสาสมัครในกิจกรรม การสนับสนุนอุปกรณ์และสถานที่ การให้ความรู้เฉพาะด้านแก่นักเรียน และการเป็นผู้ตัดสินในการแข่งขัน ความเข้าใจและการสนับสนุนจากผู้ปกครองทำให้นักเรียนมีกำลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

ชุมชนท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการผ่านการเปิดพื้นที่เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ เช่น สวนพฤกษศาสตร์ ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ โรงงานอุตสาหกรรมสีเขียว และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับบริบทของชุมชนท้องถิ่นทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าและความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองอย่างยั่งยืน

หน่วยงานภาคเอกชนและมูลนิธิต่างๆ ได้เข้ามาสนับสนุนโครงการในด้านการให้ทุนการศึกษา การบริจาคอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ การให้ความรู้เฉพาะด้าน และการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เข้าชมสถานประกอบการ ความร่วมมือในลักษณะนี้สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่กว้างขวางและเข้มแข็ง ทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยี

การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการ ได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน “Science Quest” สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านเกมและกิจกรรมโต้ตอบได้ตลอดเวลา แอปพลิเคชันนี้ได้รับการดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 156,000 ครั้ง และมีผู้ใช้งานสม่ำเสมอจำนวน 78,000 คน การออกแบบเนื้อหาในแอปพลิเคชันคำนึงถึงหลักการเรียนรู้แบบเล่นเพื่อเรียนรู้ (Gamification) ทำให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ระบบการเรียนรู้ออนไลน์ “Virtual Science Lab” ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้นักเรียนสามารถทำการทดลองวิทยาศาสตร์ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และสถานที่ในการทำการทดลอง ระบบนี้มีการทดลองทั้งหมด 145 การทดลอง ครอบคลุมเนื้อหาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษาทุกระดับชั้น การทดลองในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงสามารถควบคุมตัวแปรต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น

การใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ในการจัดการเรียนการสอนได้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำสำหรับนักเรียน ด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่เป็นนามธรรมให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เช่น การสำรวจระบบสุริยจักรแบบสามมิติ การเดินทางย้อนเวลาไปดูไดโนเสาร์ยุคต่างๆ และการสำรวจโครงสร้างภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักเรียน โดยร้อยละ 91.2 ของนักเรียนแสดงความคิดเห็นว่าการเรียนด้วยเทคโนโลยี AR และ VR ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น

ขอบคุณแหล่งที่มา : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

ขอแนะนำไฟล์ รายงานผลการจัดกิจกรรมโครงการ”บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ระดับประถมศึกษา ปีการศึกษา 2565

ขอบคุณแหล่งที่มา : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3

เป็นไฟล์ Word แก้ไขได้

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร คลิกที่นี่

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด