บทความนี้ สื่อฟรีออนไลน์.com
ขอแนะนำบทความเรื่อง ข้อสอบ วิชาความรอบรู้ ครู กทม. ข้าราชการครู กรุงเทพมหานคร
ข้อสอบวิชาความรอบรู้ครูกรุงเทพมหานคร เคล็ดลับและแนวทางการเตรียมตัวสอบข้าราชการครูกทม
การสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูในสังกัดกรุงเทพมหานครถือเป็นเป้าหมายสำคัญของบัณฑิตครูหลายพันคนทั่วประเทศที่ต้องการมีหน้าที่การงานที่มั่นคงและได้รับสวัสดิการที่ดี วิชาความรอบรู้เป็นหนึ่งในวิชาสอบที่ผู้สมัครสอบครูกรุงเทพมหานครทุกคนต้องเผชิญและต้องเตรียมตัวอย่างเต็มที่เพราะเนื้อหาครอบคลุมหลากหลายสาขาความรู้ตั้งแต่เรื่องทั่วไปไปจนถึงเรื่องเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของกรุงเทพมหานครและระบบการศึกษาไทย
ความสำคัญของวิชาความรอบรู้ในการสอบครูกรุงเทพมหานคร
วิชาความรอบรู้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสอบบรรจุครูกรุงเทพมหานครเพราะเป็นวิชาที่ใช้วัดความพร้อมและความรอบรู้โดยรวมของผู้สมัครสอบว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นครูในสังกัดกรุงเทพมหานครหรือไม่ การสอบวิชานี้ไม่เพียงแค่ทดสอบความรู้ทางวิชาการเท่านั้นแต่ยังรวมถึงความเข้าใจในบริบทสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน
คะแนนจากวิชาความรอบรู้มีส่วนสำคัญในการตัดสินผลการสอบรอบแรกของการสอบครูกรุงเทพมหานคร ผู้ที่ได้คะแนนสูงจะมีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์มากกว่าผู้ที่ได้คะแนนต่ำ ดังนั้นการเตรียมตัวสอบวิชานี้อย่างจริงจังและเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มุ่งหวังจะเป็นครูในสังกัดกรุงเทพมหานคร
โครงสร้างข้อสอบวิชาความรอบรู้ครูกรุงเทพมหานคร
ข้อสอบวิชาความรอบรู้ของการสอบครูกรุงเทพมหานครมักจะมีรูปแบบเป็นข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวนข้อสอบโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 100 ถึง 150 ข้อ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายส่วนครอบคลุมความรู้ทั่วไปในด้านต่างๆ เวลาในการทำข้อสอบมักจะอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้สมัครสอบต้องจัดการเวลาให้ดีเพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ
เนื้อหาที่ออกสอบในวิชาความรอบรู้จะครอบคลุมหลายสาขาวิชา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร ความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการครู และความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศ
ความรู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
ส่วนนี้ถือเป็นเนื้อหาสำคัญที่สุดในข้อสอบวิชาความรอบรู้ของการสอบครูกรุงเทพมหานคร เพราะผู้ที่จะมาเป็นครูในสังกัดกรุงเทพมหานครจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กรที่ตนเองจะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่อย่างถ่องแท้ เนื้อหาที่ควรศึกษาในส่วนนี้ประกอบด้วยประวัติความเป็นมาของกรุงเทพมหานคร โครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร อำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร นโยบายและแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร สถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร และข้อมูลสถิติต่างๆ เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2515 โดยการรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกัน มีสถานะเป็นนครหลวงและเป็นเมืองพิเศษที่มีการปกครองในรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารสูงสุดซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
โครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานครแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งประกอบด้วยสภากรุงเทพมหานครที่มีสมาชิกสภากรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และฝ่ายบริหารซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยหน่วยงานต่างๆ ที่แบ่งออกเป็นสำนักงาน สำนัก และกองต่างๆ
กรุงเทพมหานครแบ่งการปกครองออกเป็น 50 เขต แต่ละเขตมีผู้อำนวยการเขตเป็นผู้บริหาร เขตทั้ง 50 เขตนี้กระจายอยู่ทั่วทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1568 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากกว่า 5 ล้านคนตามทะเบียนราษฎร แต่ถ้ารวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครด้วยแล้วประชากรจริงอาจสูงถึง 10 ล้านคนในช่วงเวลากลางวัน
นโยบายสำคัญของกรุงเทพมหานครในปัจจุบันเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาการจราจร การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ การจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ผู้สมัครสอบควรติดตามนโยบายและแผนพัฒนาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในแต่ละสมัยเพื่อให้สามารถตอบคำถามที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
สถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครที่ควรรู้จักได้แก่ พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณราชวราราม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เยาวราช สนามหลวง ท่าช้างวัง สวนลุมพินี สวนจตุจักร ตลาดน้ำ และย่านการค้าต่างๆ เช่น สยาม สุขุมวิท สีลม สาทร รัชดาภิเษก เป็นต้น การรู้จักสถานที่เหล่านี้จะช่วยให้ตอบคำถามเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และสถานที่สำคัญของกรุงเทพมหานครได้
ความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย
ส่วนนี้จะครอบคลุมความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศไทยในด้านต่างๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์ไทย ภูมิศาสตร์ของประเทศไทย การปกครองและการเมืองไทย เศรษฐกิจไทย สังคมและวัฒนธรรมไทย และเหตุการณ์สำคัญในประเทศไทย ผู้สมัครสอบควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพราะเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นครูที่ดี
ประวัติศาสตร์ไทยเริ่มต้นจากสมัยสุโขทัยซึ่งถือเป็นอาณาจักรไทยแห่งแรกที่มีความเป็นอิสระสมบูรณ์ ก่อตั้งขึ้นโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในปี พ.ศ. 1781 ต่อมาเป็นสมัยอยุธยาที่มีความรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินมหาราชได้กู้อิสรภาพและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี และต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2325 ซึ่งเป็นราชธานีของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีลักษณะเป็นรูปขวานซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ประมาณ 513120 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศคือเมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย แบ่งออกเป็น 6 ภูมิภาคคือภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ แต่ละภูมิภาคมีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป
ระบบการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยและใช้อำนาจนั้นผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ประเทศไทยแบ่งการปกครองออกเป็น 77 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหาร ยกเว้นกรุงเทพมหานครที่มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจแบบเปิดที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นสำคัญ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP อยู่ในอันดับที่สองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่การเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยได้แก่ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ผลไม้ รถยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และอัญมณีและเครื่องประดับ
วัฒนธรรมไทยมีความหลากหลายและผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมอินเดียและจีนที่เข้ามามีอิทธิพลตั้งแต่อดีต ศาสนาพุทธเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติและมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและจิตใจของคนไทยเป็นอย่างมาก ประเพณีและงานเทศกาลที่สำคัญของไทยได้แก่สงกรานต์ ลอยกระทง วันขึ้นปีใหม่ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่างๆ เป็นต้น
ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาไทย
ส่วนนี้เป็นเนื้อหาที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะเป็นครู ผู้สมัครสอบควรมีความรู้เกี่ยวกับระบบการศึกษาไทย หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ มาตรฐานการศึกษา และเทคนิคการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัย
ระบบการศึกษาไทยแบ่งออกเป็นหลายระดับตั้งแต่การศึกษาปฐมวัย การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา การศึกษาระดับอาชีวศึกษา และการศึกษาระดับอุดมศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐานมีระยะเวลา 12 ปี โดยแบ่งเป็นประถมศึกษา 6 ปี และมัธยมศึกษา 6 ปี ซึ่งแบ่งเป็นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี และมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ซึ่งปรับปรุงในปี พ.ศ. 2560 เป็นหลักสูตรที่ใช้ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ มีจุดหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ หลักสูตรกำหนดให้มี 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้คือภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการบริหารจัดการการศึกษาของประเทศ กำหนดหลักการสำคัญหลายประการเช่น การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในการจัดและรับการศึกษา
นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันเน้นหลายประเด็นสำคัญเช่นการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้และการคิดวิเคราะห์ การส่งเสริมภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศ การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและความเป็นพลเมืองที่ดี และการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
มาตรฐานการศึกษาของชาติกำหนดโดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษามีทั้งมาตรฐานสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาระดับปฐมวัย มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมาตรฐานการศึกษาระดับอาชีวศึกษา สถานศึกษาทุกแห่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านี้และต้องผ่านการประเมินคุณภาพภายนอกเป็นระยะๆ
เทคนิคการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัยในปัจจุบันเน้นการเรียนรู้แบบเชิงรุกหรือ Active Learning การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานหรือ Problem-Based Learning การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานหรือ Project-Based Learning การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือ Cooperative Learning การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนหรือ EdTech และการประเมินผลแบบหลากหลายที่เน้นการประเมินตามสภาพจริง
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

