บทความนี้ สื่อฟรีออนไลน์.com
ขอแนะนำบทความเรื่อง แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียน
ขอบคุณที่มา : คุณครูรักเกียรติ โคกสีนอก
แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนสำหรับเด็กไทย เทคนิคและวิธีการพัฒนาที่พ่อแม่ครูควรรู้
การอ่านและการเขียนเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ของเด็กทุกคน ทักษะทั้งสองนี้เป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้วิชาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนเองอีกด้วย ในปัจจุบันพ่อแม่และครูผู้สอนต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการอ่านการเขียนของเด็กมากขึ้น เนื่องจากเห็นถึงความสำคัญที่มีต่อการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตในอนาคต
ทักษะการอ่านไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การออกเสียงตามตัวอักษรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเข้าใจเนื้อหาที่อ่าน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ในขณะที่ทักษะการเขียนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นการแสดงออกถึงความคิด ความรู้สึก และจินตนาการของเด็กผ่านตัวอักษร การฝึกฝนทักษะทั้งสองอย่างต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยใช้แบบฝึกที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็กแต่ละคน
ความสำคัญของทักษะการอ่านการเขียนในยุคปัจจุบัน
ในโลกยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารมีมากมายล้นหลาม ทักษะการอ่านที่ดีจะช่วยให้เด็กสามารถคัดกรองข้อมูล เลือกอ่านสิ่งที่มีประโยชน์ และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการของเด็กอีกด้วย สำหรับทักษะการเขียนนั้น ในยุคที่การสื่อสารผ่านตัวอักษรมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล การเขียนโพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือการทำงานเอกสาร การมีทักษะการเขียนที่ดีจะช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่เข้าใจของผู้อื่น
การวิจัยทางการศึกษาพบว่าเด็กที่มีทักษะการอ่านการเขียนที่ดีตั้งแต่เล็กจะมีผลการเรียนที่ดีกว่าในวิชาอื่นๆ ด้วย เพราะสามารถเข้าใจโจทย์ อ่านตำราเรียน และจดบันทึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังพบว่าทักษะเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นการลงทุนเวลาและความพยายามในการพัฒนาทักษะการอ่านการเขียนให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและจำเป็นอย่างยิ่ง
พัฒนาการทางด้านการอ่านการเขียนตามช่วงวัย
การเข้าใจพัฒนาการทางด้านการอ่านการเขียนของเด็กในแต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พ่อแม่และครูสามารถเลือกใช้แบบฝึกที่เหมาะสมได้ ในช่วงอายุ 3-4 ปี เด็กจะเริ่มสนใจตัวอักษรและภาพในหนังสือ สามารถจำรูปร่างของตัวอักษรบางตัวได้ และเริ่มขีดเขียนรูปร่างต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานของการเขียน ในช่วงนี้ควรเน้นให้เด็กได้สัมผัสกับหนังสือภาพ เล่านิทาน และฝึกการถือปากกาอย่างถูกต้อง
เมื่อเด็กอายุ 5-6 ปี จะเริ่มสามารถอ่านคำง่ายๆ ได้ รู้จักพยัญชนะและสระไทยเกือบทั้งหมด และสามารถเขียนชื่อตนเองได้ ในช่วงนี้ควรฝึกให้เด็กอ่านคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชื่อสิ่งของรอบตัว ป้ายต่างๆ และฝึกเขียนตัวอักษรให้ถูกต้องและสวยงาม สำหรับเด็กอายุ 7-9 ปี จะสามารถอ่านประโยคและเรื่องสั้นๆ ได้ เข้าใจเนื้อหาเบื้องต้น และเขียนประโยคง่ายๆ เพื่อสื่อความหมายได้ ในช่วงนี้ควรเน้นการฝึกอ่านจับใจความ การตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน และการเขียนเรื่องสั้นๆ
เด็กอายุ 10-12 ปี จะมีทักษะการอ่านและการเขียนที่ดีขึ้นมาก สามารถอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาซับซ้อนขึ้นได้ วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน รวมทั้งเขียนเรียงความที่มีโครงสร้างชัดเจนได้ ในช่วงนี้ควรส่งเสริมให้เด็กอ่านหนังสือหลากหลายประเภท ฝึกการเขียนสรุปความ การวิเคราะห์ และการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การทำความเข้าใจพัฒนาการเหล่านี้จะช่วยให้การฝึกทักษะมีความเหมาะสมและได้ผลดีที่สุด
หลักการสำคัญในการสอนทักษะการอ่านการเขียน
การสอนทักษะการอ่านการเขียนให้ได้ผลดีนั้นต้องอาศัยหลักการที่สำคัญหลายประการ ประการแรกคือการเริ่มต้นจากสิ่งที่เด็กรู้จักและสนใจ การใช้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ความสนใจ หรือประสบการณ์ของเด็กจะช่วยให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น เช่น การให้เด็กอ่านเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงถ้าเด็กชอบสัตว์ หรือให้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวและเพื่อนๆ
หลักการที่สองคือการฝึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ทักษะการอ่านการเขียนไม่สามารถพัฒนาได้ในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่มากก็ตาม การให้เด็กอ่านหนังสือวันละ 15-20 นาที หรือเขียนบันทึกประจำวันสั้นๆ ทุกวันจะให้ผลดีกว่าการฝึกครั้งเดียวแต่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ควรเพิ่มความยากของเนื้อหาและแบบฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากสิ่งที่ง่ายและค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนขึ้นเมื่อเด็กมีพื้นฐานที่มั่นคงแล้ว
หลักการที่สามคือการให้คำชมเชยและกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ เด็กทุกคนต้องการความรู้สึกที่ว่าตนเองทำได้ดี การให้คำชมเชยเมื่อเด็กพยายามและมีความก้าวหน้า แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย จะช่วยสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ ในทางกลับกัน ควรห่างการวิพากษ์วิจารณ์หรือเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่นในทางลบ เพราะจะทำให้เด็กท้อแท้และไม่อยากเรียนรู้ หลักการที่สี่คือการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องจริงจังและเครียดเสมอไป การใช้เกม กิจกรรมสนุกสนาน หรือสื่อการสอนที่น่าสนใจจะช่วยให้เด็กเพลิดเพลินกับการเรียนรู้และจดจำได้ดีขึ้น
แบบฝึกทักษะการอ่านสำหรับเด็กระดับเริ่มต้น
สำหรับเด็กที่กำลังเริ่มเรียนรู้การอ่าน แบบฝึกที่ดีควรมีความหลากหลายและสนุกสนาน แบบฝึกแรกคือการจับคู่ภาพกับคำ โดยให้เด็กดูภาพสิ่งของต่างๆ เช่น แมว ปลา ดอกไม้ และจับคู่กับคำที่เขียนไว้ใต้ภาพ การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้รูปร่างของคำและความหมายไปพร้อมๆ กัน ควรเริ่มจากคำที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันและค่อยๆ เพิ่มคำศัพท์ใหม่
แบบฝึกที่สองคือการหาคำในประโยค โดยให้เด็กอ่านประโยคง่ายๆ เช่น “แมวกินปลา” แล้วให้หาคำที่กำหนด เช่น “หาคำว่า แมว” การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กรู้จักแยกแยะคำในประโยคและฝึกการอ่านคำได้อย่างรวดเร็วขึ้น แบบฝึกที่สามคือการเติมคำในช่องว่าง โดยให้ประโยคที่มีคำบางคำหายไป และให้เด็กเลือกคำที่ถูกต้องมาเติม เช่น “ฉันชอบกิน___” โดยมีตัวเลือกเป็น ข้าว นอน วิ่ง การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจความหมายของประโยคและฝึกการคิดวิเคราะห์
แบบฝึกที่สี่คือการอ่านและวาดภาพ ให้เด็กอ่านประโยคหรือเรื่องสั้นๆ แล้วให้วาดภาพตามที่อ่าน เช่น “วาดภาพแมวสีขาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้” การฝึกแบบนี้จะช่วยตรวจสอบว่าเด็กเข้าใจเนื้อหาที่อ่านหรือไม่ และยังช่วยให้เด็กเชื่อมโยงระหว่างคำกับภาพได้อีกด้วย แบบฝึกที่ห้าคือการเรียงลำดับเรื่อง โดยให้ภาพหรือประโยคที่ไม่เรียงลำดับ และให้เด็กเรียงให้ถูกต้องตามลำดับเหตุการณ์ การฝึกแบบนี้จะช่วยพัฒนาความเข้าใจเรื่องลำดับเวลาและเหตุผลในเรื่องราว
แบบฝึกทักษะการอ่านสำหรับเด็กระดับกลาง
เมื่อเด็กอ่านได้คล่องแล้ว ควรเน้นการพัฒนาความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่าน แบบฝึกแรกคือการตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน โดยให้เด็กอ่านเรื่องสั้นๆ แล้วตอบคำถามต่างๆ เช่น “ตัวละครในเรื่องชื่ออะไร” “เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน” “เรื่องราวเป็นอย่างไร” คำถามควรมีทั้งแบบที่หาคำตอบได้โดยตรงจากเรื่อง และแบบที่ต้องตีความหรือสรุปจากเนื้อหา การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กอ่านอย่างตั้งใจและจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น
แบบฝึกที่สองคือการหาใจความสำคัญ ให้เด็กอ่านเรื่องหรือบทความสั้นๆ แล้วให้สรุปใจความสำคัญเป็นประโยคหรือสองประโยค การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การแยกแยะระหว่างข้อมูลสำคัญกับรายละเอียดเสริม และฝึกการสรุปความ แบบฝึกที่สามคือการทำนายเรื่อง โดยให้เด็กอ่านเรื่องไปครึ่งหนึ่ง แล้วให้ทายว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร หรือให้ดูภาพปกหนังสือแล้วทายว่าเรื่องจะเกี่ยวกับอะไร การฝึกแบบนี้จะช่วยพัฒนาความคิดวิเคราะห์และจินตนาการ
แบบฝึกที่สี่คือการเปรียบเทียบเรื่อง ให้เด็กอ่านเรื่องสองเรื่องที่มีความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน แล้วให้เปรียบเทียบว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เช่น อ่านนิทานสองเรื่องที่ตัวเอกต่างกันแต่มีข้อคิดเหมือนกัน หรืออ่านบทความเกี่ยวกับสัตว์สองชนิดแล้วเปรียบเทียบลักษณะต่างๆ การฝึกแบบนี้จะช่วยพัฒนาความคิดวิเคราะห์และความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล แบบฝึกที่ห้าคือการแยกแยะความจริงกับความคิดเห็น ให้เด็กอ่านประโยคต่างๆ แล้วบอกว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็น เช่น “น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส” เป็นข้อเท็จจริง ส่วน “น้ำร้อนอร่อยกว่าน้ำเย็น” เป็นความคิดเห็น การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กคิดอย่างมีวิจารณญาณ
แบบฝึกทักษะการอ่านสำหรับเด็กระดับสูง
สำหรับเด็กที่มีทักษะการอ่านขั้นสูงแล้ว ควรเน้นการพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินเนื้อหา แบบฝึกแรกคือการวิเคราะห์ตัวละคร ให้เด็กอ่านเรื่องหรือนิทาน แล้ววิเคราะห์ตัวละครว่ามีนิสัยอย่างไร ทำไมถึงกระทำเช่นนั้น และจะมีวิธีจัดการกับปัญหาอย่างอื่นได้หรือไม่ การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจมิติของตัวละครและพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ แบบฝึกที่สองคือการหาข้อสันนิษฐานและหลักฐานสนับสนุน ให้เด็กอ่านบทความหรือเรื่องราว แล้วระบุว่าผู้เขียนมีข้อสันนิษฐานหรือความเชื่ออะไรบ้าง และมีหลักฐานใดสนับสนุน
แบบฝึกที่สามคือการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ให้เด็กดูข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ แล้วให้ประเมินว่าแหล่งไหนน่าเชื่อถือกว่าและเพราะเหตุใด การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์ข้อมูลและไม่เชื่อทุกอย่างที่อ่านโดยไม่คิด แบบฝึกที่สี่คือการเขียนวิจารณ์หนังสือ ให้เด็กอ่านหนังสือแล้วเขียนวิจารณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบส่วนใด เพราะเหตุใด และจะแนะนำให้ใครอ่านหรือไม่ การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลและการประเมินคุณค่าของงานเขียน
แบบฝึกที่ห้าคือการเปรียบเทียบมุมมอง ให้เด็กอ่านเรื่องเดียวกันที่เล่าจากมุมมองต่างกัน เช่น นิทานเรื่องเดียวกันที่เล่าจากมุมของตัวเอกและตัวร้าย แล้วให้วิเคราะห์ว่าแต่ละฝ่ายมองเหตุการณ์อย่างไร และทำไมถึงมองแตกต่างกัน การฝึกแบบนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจว่าเรื่องเดียวกันอาจมีมุมมองได้หลากหลาย และช่วยพัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นอกจากนี้ยังควรให้เด็กอ่านหนังสือประเภทต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งนิทาน บทกวี บทความ และหนังสือสารคดี เพื่อขยายความรู้และประสบการณ์ในการอ่าน
การบูรณาการการอ่านและการเขียน พื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้
ความสำคัญของทักษะการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในยุคปัจจุบัน การอ่านไม่เพียงแต่ช่วยให้เราได้รับข้อมูลและความรู้ใหม่ๆ แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
ในกระบวนการเรียนรู้ การอ่านช่วยให้เราสามารถเข้าใจแนวคิดและมุมมองที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เราได้พบกับวรรณกรรมที่หลากหลาย ซึ่งสามารถกระตุ้นจินตนาการและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน
การพัฒนาทักษะการอ่านสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การตั้งเวลาในการอ่านหนังสือทุกวัน การเลือกอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจหรือมีความท้าทาย และการเข้าร่วมกลุ่มอ่านเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น
การพัฒนาทักษะการเขียน
การเขียนเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้การอ่าน การเขียนช่วยให้เราสามารถถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกออกมาเป็นตัวหนังสือ การพัฒนาทักษะการเขียนไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถสื่อสารได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยในการวิเคราะห์และจัดระเบียบความคิด
เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน เราสามารถฝึกเขียนในหลากหลายรูปแบบ เช่น บทความ บันทึกประจำวัน หรือแม้แต่การเขียนเรื่องสั้น การอ่านหนังสือหรือบทความจากผู้เขียนที่เราชื่นชอบก็สามารถช่วยเพิ่มพูนเทคนิคการเขียนและแรงบันดาลใจให้กับเราได้
นอกจากนี้ การขอความคิดเห็นจากผู้อื่นเกี่ยวกับงานเขียนของเรายังช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ๆ และสามารถปรับปรุงการเขียนให้ดียิ่งขึ้นได้
ความเชื่อมโยงระหว่างการอ่านและการเขียน
การอ่านและการเขียนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น การอ่านช่วยให้เรามีความรู้และแนวคิดที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเขียนได้ ในขณะที่การเขียนช่วยให้เราสามารถสื่อสารและแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึกของเรา
การอ่านงานเขียนที่ดีสามารถช่วยเราเรียนรู้โครงสร้าง ประโยค และสไตล์การเขียนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้เรารู้จักวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและดึงดูดผู้อ่าน
การพัฒนาทักษะทั้งสองอย่างนี้ควรทำควบคู่กันไป เพราะการอ่านสามารถเสริมสร้างทักษะการเขียน และการเขียนสามารถช่วยในการเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ควรจัดสรรเวลาในการอ่านและเขียนอย่างสมดุล เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างรอบด้าน
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร















ขอแนะนำบทความเรื่อง แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียน
ขอบคุณที่มา : คุณครูรักเกียรติ โคกสีนอก