สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทาง ในการเรียนรู้ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ตามรายละเอียดดังนี้ ครับ

เผยแพร่ผลงานวิชาการ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 โดยคุณครูกมลพร จิตต์จำนงค์


รายละเอียด งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6

แนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 เพื่อศึกษาผลการใช้แนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ของครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 โดยศึกษา 5 ด้าน คือ ความรู้ความเข้าใจของครูผู้สอน ผลการใช้แนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ความรู้ความเข้าใจของนักเรียน เจตคติวิทยาศาสตร์ของนักเรียนและความพึงพอใจของนักเรียน และเพื่อนิเทศ ติดตามการพัฒนาการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตากเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ได้แก่ โรงเรียนในโครงการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์“สนุกคิดด้วยวิทยาศาสตร์” ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ปีการศึกษา 2564 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 จำนวน 30 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการ
ทดลอง ได้แก่ เอกสารแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 แบบประเมินการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการ Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 และแบบบันทึกการนิเทศครูผู้สอนวิทยาศาสตร์รายบุคคลด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการ Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 วิเคราะห์ข้อมูลโดยร้อยละ
(Percentage) ค่าเฉลี่ย (X) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)

การพัฒนาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงรุก แนวทางใหม่สำหรับครูผู้สอนในยุคดิจิทัล

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับประถมศึกษา งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการใช้แนวการเรียนรู้เชิงรุกหรือ Active Learning สามารถช่วยเสริมสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ซึ่งเป็นช่วงวัยที่นักเรียนเริ่มพัฒนาความคิดเชิงนามธรรมและมีความสนใจในการสำรวจโลกรอบตัว

ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูวิทยาศาสตร์

การวิจัยในชั้นเรียนถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สำหรับครูวิทยาศาสตร์แล้ว การวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการสำรวจ การทดลอง และการค้นพบ ครูที่ทำวิจัยในชั้นเรียนจะสามารถเข้าใจปัญหาและความต้องการของนักเรียนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การวิจัยในชั้นเรียนช่วยให้ครูสามารถระบุปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างเป็นระบบ เมื่อครูสังเกตและเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง จะพบว่านักเรียนหลายคนมีเจตคติเชิงลบต่อวิทยาศาสตร์ เนื่องจากการเรียนการสอนแบบเดิมที่เน้นการท่องจำและการฟังบรรยายเป็นหลัก ซึ่งไม่ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้

ทำความเข้าใจเจตคติทางวิทยาศาสตร์และความสำคัญ

เจตคติทางวิทยาศาสตร์หมายถึงความรู้สึก ความเชื่อ และความโน้มเอียงของบุคคลที่มีต่อวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์จะส่งผลให้นักเรียนมีความสนใจ มีแรงจูงใจในการเรียนรู้ และพร้อมที่จะแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

เจตคติทางวิทยาศาสตร์มีองค์ประกอบที่สำคัญหลายด้าน ประกอบด้วย ความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ความเพลิดเพลินในกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ความรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์มีประโยชน์และความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน ความมั่นใจในความสามารถของตนเองในการเรียนวิทยาศาสตร์ และทัศนคติที่ดีต่อนักวิทยาศาสตร์และอาชีพทางวิทยาศาสตร์

การพัฒนาเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ในวัยเด็กมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเจตคติที่เกิดขึ้นในวัยนี้จะมีผลต่อการเรียนรู้และการเลือกเส้นทางการศึกษาในอนาคต นักเรียนที่มีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์จะมีโอกาสเรียนรู้ได้ดีกว่า มีแรงจูงใจในการแสวงหาความรู้ และอาจเลือกศึกษาต่อในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Active Learning คืออะไรและทำไมถึงมีประสิทธิภาพ

Active Learning หรือการเรียนรู้เชิงรุก เป็นแนวทางการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนรู้ แทนที่จะเป็นผู้รับสารแบบเดิม ในการเรียนรู้เชิงรุก นักเรียนจะต้องคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินผล และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ กิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ในการเรียนรู้เชิงรุกมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การอภิปรายกลุม การแก้ปัญหา การทดลอง การสืบเสาะหาความรู้ และการนำเสนอผลงาน

ประสิทธิภาพของการเรียนรู้เชิงรุกในการสอนวิทยาศาสตร์มีหลายด้าน ประการแรก การเรียนรู้เชิงรุกช่วยส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน การทดสอบ และการสรุปผล ทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21

ประการที่สอง การเรียนรู้เชิงรุกช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ เมื่อนักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ อย่างแข็งขัน พวกเขาจะรู้สึกมีความเป็นเจ้าของในการเรียนรู้มากขึ้น ความสนุกสนานและความท้าทายที่เหมาะสมในกิจกรรมจะช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ลักษณะของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6

นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 มีอายุประมาณ 9-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีความพิเศษในด้านการพัฒนาทางสติปัญญาและอารมณ์ ตามทฤษฎีการพัฒนาทางสติปัญญาของ Piaget นักเรียนในวัยนี้อยู่ในระยะ Concrete Operational Stage ซึ่งเริ่มสามารถคิดเชิงตรรกะได้แต่ยังต้องอาศัยสิ่งที่เป็นรูปธรรม

นักเรียนในวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นสูง ชอบสำรวจและทดลองสิ่งต่างๆ รอบตัว พวกเขาเริ่มสามารถคิดแบบเป็นระบบและเข้าใจความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การคิดของนักเรียนในวัยนี้ยังคงต้องอาศัยประสบการณ์ตรงและสิ่งที่มองเห็นได้จริง การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมและได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง

ด้านอารมณ์และสังคม นักเรียนในวัยนี้เริ่มให้ความสำคัญกับการยอมรับจากเพื่อนมากขึ้น พวกเขาชอบทำงานร่วมกับผู้อื่นและได้รับการยกย่องจากครูและเพื่อน ความสำเร็จในการเรียนรู้และการทำกิจกรรมจะส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองอย่างมาก

การออกแบบกิจกรรม Active Learning สำหรับวิทยาศาสตร์

การออกแบบกิจกรรม Active Learning สำหรับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษา ต้องคำนึงถึงลักษณะและความต้องการของนักเรียนในวัยนี้ กิจกรรมควรมีลักษณะที่ให้นักเรียนได้สำรวจ ค้นพบ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและการเคลื่อนไหว

กิจกรรมการทดลองแบบ Hands-on เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียนจะได้สัมผัสกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์โดยตรง ตั้งแต่การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดสอบ และการสรุปผล การทดลองควรเลือกใช้วัสดุที่หาได้ง่าย ปลอดภัย และสามารถสร้างความประทับใจให้กับนักเรียนได้

การสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E Model ซึ่งประกอบด้วย Engage Explore Explain Elaborate และ Evaluate เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ ในขั้น Engage ครูจะกระตุ้นความสนใจของนักเรียนด้วยคำถาม สถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ขั้น Explore นักเรียนจะได้สำรวจและค้นพบด้วยตนเอง ขั้น Explain ครูและนักเรียนร่วมกันอธิบายแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ขั้น Elaborate นักเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ และขั้น Evaluate จะประเมินผลการเรียนรู้

กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์

การเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ต้องใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายและต่อเนื่อง ครูต้องเป็นทั้งผู้อำนวยความสะดวก ผู้ให้กำลังใจ และแบบอย่างที่ดี การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัย เป็นกันเอง และให้การสนับสนุนเป็นสิ่งจำเป็น

การเชื่อมโยงเนื้อหาวิทยาศาสตร์กับชีวิตประจำวันและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความสนใจ เมื่อนักเรียนเห็นประโยชน์และความเกี่ยวข้องของวิทยาศาสตร์กับชีวิตของตนเอง พวกเขาจะให้ความสำคัญและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น การใช้ตัวอย่างจากท้องถิ่น วัฒนธรรมไทย และปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนจะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น

การให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเจตคติที่ดี ครูควรชื่นชมความพยายาม การคิด การตั้งคำถาม และการลองผิดลองถูกของนักเรียน แม้ว่าคำตอบหรือผลการทดลองจะไม่ถูกต้องก็ตาม การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้จะช่วยให้นักเรียนกล้าลองและไม่กลัวที่จะถามคำถาม

การประเมินผลเจตคติทางวิทยาศาสตร์

การประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ต้องใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย เนื่องจากเจตคติเป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจและไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง การใช้แบบสอบถามเจตคติ การสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์ผลงานของนักเรียนเป็นวิธีการที่นิยมใช้

แบบสอบถามเจตคติควรออกแบบให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย มีรูปภาพประกอบ และมีตัวเลือกคำตอบที่ไม่ซับซ้อน การใช้มาตรวัดแบบ Likert Scale หรือแบบ Semantic Differential Scale สามารถช่วยวัดระดับเจตคติได้อย่างเป็นระบบ

การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์สามารถให้ข้อมูลที่มีค่า พฤติกรรมที่แสดงถึงเจตคติที่ดี ได้แก่ การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน การตั้งคำถาม การแสดงความคิดเห็น การยินดีที่จะทำการทดลอง และการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์อื่น

ผลการวิจัยและข้อค้นพบ

จากการศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการใช้ Active Learning เพื่อเสริมสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 พบผลการวิจัยที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญหลายประการ การวิจัยดำเนินการใน 3 โรงเรียน จำนวน 6 ห้องเรียน เป็นระยะเวลา 1 ภาคเรียน

ผลการวิจัยด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์พบว่า คะแนนเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสtatistical ที่ระดับ 0.01 โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.2 เป็น 4.1 จากคะแนนเต็ม 5 การเพิ่มขึ้นของเจตคติปรากฏชัดเจนในทุกองค์ประกอบ ทั้งความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ความเพลิดเพลินในกิจกรรม ความเห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์ และความมั่นใจในตนเอง

ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนที่เรียนด้วยวิธี Active Learning มีคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลองอยู่ที่ 78.5 ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ย 65.2 สิ่งที่น่าสนใจคือนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำในตอนแรกมีการพัฒนาที่ชัดเจนที่สุด

ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้

การนำแนวการเรียนรู้เชิงรุกไปใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์ต้องมีการเตรียมการและการสนับสนุนหลายด้าน ครูผู้สอนต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความรู้เนื้อหาวิชา ทักษะการจัดการเรียนรู้ และการใช้เทคโนโลยี การอบรมเชิงปฏิบัติการและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างครูเป็นสิ่งจำเป็น

ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน โรงเรียนควรจัดหาวัสดุอุปกรณ์สำหรับการทดลองที่เพียงพอและปลอดภัย การใช้วัสดุท้องถิ่นและของเหลือใช้สามารถช่วยลดต้นทุนได้ การสร้างมุมวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนและพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมกลุ่มเป็นสิ่งที่สนับสนุนการเรียนรู้

การประเมินผลต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับแนวการสอนใหม่ การประเมินควรเน้นกระบวนการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ มากกว่าการจำและทำซ้ำ การใช้การประเมินตนเอง การประเมินเพื่อน และแฟ้มสะสมผลงานจะช่วยให้การประเมินมีความหลากหลายและสะท้อนการเรียนรู้ที่แท้จริง

ตัวอย่างไฟล์ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องแนวการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ด้วยแนวการเสริมสร้างเจตคติวิทยาศาสตร์ด้วย Active learning ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6


งานวิจัยในชั้นเรียน

เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : คุณครูกมลพร จิตต์จำนงค์ 

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด