บทความนี้ สื่อฟรีออนไลน์.com

ขอแนะนำไฟล์ รายงานวิจัยในชั้นเรียน

เครดิต : คุณครูจักรกฤช เลื่อนกฐิน

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ประกอบการเรียนเรื่องหลักการนับเบื้องต้น ประสบการณ์จากห้องเรียนจริงที่พิสูจน์ความสำเร็จ

การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถือเป็นความท้าทายสำคัญของครูผู้สอนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสอนเนื้อหาที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับสูง เช่น เรื่องหลักการนับเบื้องต้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น นายจักรกฤช เลื่อนกฐิน ครูชำนาญการพิเศษจากกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบางละมุง จึงได้ดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด

งานวิจัยนี้มีชื่อเรื่องว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 3 วิทย์ รหัสวิชา ค32102 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนเรื่องหลักการนับเบื้องต้น ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กับนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 112 คน จากห้อง 5/1 5/2 และ 5/5 ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันครอบคลุมทั้งกลุ่มเก่ง กลุ่มกลาง และกลุ่มอ่อน การวิจัยครั้งนี้จึงสะท้อนภาพที่แท้จริงของห้องเรียนไทยที่มีความหลากหลายของผู้เรียน

ที่มาและความสำคัญของการวิจัยครั้งนี้

ปัญหาที่ผู้วิจัยพบในห้องเรียนคือนักเรียนจำนวนมากไม่สามารถทำข้อสอบผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของโรงเรียนในหน่วยการเรียนรู้เรื่องหลักการนับเบื้องต้น สาเหตุสำคัญมาจากการที่นักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาพื้นฐานอย่างแท้จริง ขาดทักษะในการคำนวณและการแก้โจทย์ปัญหา รวมถึงไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการสอนที่จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นและสามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

การเลือกใช้เอกสารประกอบการเรียนเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มสร้างสรรค์นิยมหรือ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าผู้เรียนจะสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านการลงมือปฏิบัติและการสะท้อนความคิดของตนเอง การใช้เอกสารประกอบการเรียนจึงช่วยให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเองตามจังหวะของแต่ละคนและสามารถย้อนกลับไปทบทวนเนื้อหาที่ยังไม่เข้าใจได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระของครูในการอธิบายเนื้อหาซ้ำๆ และเปิดโอกาสให้ครูมีเวลามากขึ้นในการให้คำแนะนำเป็นรายบุคคลแก่นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของการวิจัย

งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักสองประการที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ประการแรกคือการศึกษาเปรียบเทียบระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในหน่วยการเรียนรู้เรื่องหลักการนับเบื้องต้นของนักเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวคือนักเรียนต้องได้คะแนนร้อยละ 70 ขึ้นไปของคะแนนรวมในแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้ การกำหนดเกณฑ์นี้มาจากมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนที่ต้องการให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในระดับที่สามารถนำไปใช้ได้จริง

วัตถุประสงค์ประการที่สองคือการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน ประเด็นนี้มีความสำคัญไม่แพ้กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพราะการที่นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้จะส่งผลต่อแรงจูงใจในการเรียนและทัศนคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ในระยะยาว นักเรียนที่มีความพึงพอใจจะตั้งใจเรียนมากขึ้น มีสมาธิในการฝึกฝนทักษะ และพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายในการแก้โจทย์ที่ยากขึ้นในอนาคต

กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบอย่างรอบคอบ

การจัดการเรียนรู้ในงานวิจัยนี้ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 4 สัปดาห์ รวม 8 ชั่วโมง โดยครอบคลุมเนื้อหาหลักสามส่วนคือหลักการบวก หลักการคูณ และแฟกทอเรียล ซึ่งทั้งหมดเป็นพื้นฐานสำคัญของการนับและการจัดหมู่ที่นักเรียนจะต้องใช้ต่อไปในหัวข้ออื่นๆ เช่น การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ ผู้วิจัยได้ออกแบบเอกสารประกอบการเรียนให้มีโครงสร้างที่ชัดเจน เริ่มจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐาน ตัวอย่างที่แสดงขั้นตอนการคิดอย่างละเอียด และใบกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะด้วยตนเอง

นอกจากเอกสารประกอบการเรียนแล้ว ผู้วิจัยยังได้พัฒนาสื่อเทคโนโลยีเพื่อเสริมการเรียนรู้อีกสองประเภท ได้แก่สไลด์การสอนที่ใช้ประกอบคำอธิบายในห้องเรียนซึ่งช่วยให้นักเรียนเห็นภาพรวมของเนื้อหาได้ชัดเจนขึ้น และคลิปวิดีโอการสอนที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นเพื่อให้นักเรียนสามารถทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การมีคลิปวิดีโอนี้ทำให้นักเรียนที่ขาดเรียนหรือไม่เข้าใจในชั้นเรียนสามารถติดตามบทเรียนได้ด้วยตนเอง และยังช่วยให้นักเรียนที่ต้องการฝึกฝนเพิ่มเติมสามารถดูซ้ำได้หลายครั้งจนกว่าจะเข้าใจอย่างแท้จริง

การจัดการเรียนรู้เน้นให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกมากกว่าการบรรยายแบบเดิม นักเรียนได้ศึกษาเนื้อหาจากเอกสารประกอบการเรียน ลงมือทำกิจกรรมในใบงาน และมีโอกาสถามคำถามเมื่อพบปัญหา ครูจะคอยสังเกตการทำงานของนักเรียนและให้คำแนะนำเฉพาะจุดที่แต่ละคนต้องการความช่วยเหลือ รูปแบบนี้ทำให้นักเรียนรู้สึกมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้นและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นหรือถามคำถามมากกว่าการเรียนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียว

แบบแผนการวิจัยและเครื่องมือที่ใช้

งานวิจัยนี้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Post-test design หรือการวัดผลหลังการทดลองเท่านั้น ซึ่งเหมาะสมกับบริบทของการวิจัยในชั้นเรียนที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แทนที่จะเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม แนวทางนี้สะท้อนความเป็นจริงของการสอนที่ครูต้องการให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด การเลือกใช้แบบแผนนี้ยังช่วยลดปัญหาทางจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นหากมีการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมซึ่งอาจส่งผลให้นักเรียนบางกลุ่มไม่ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีเท่ากัน

เครื่องมือหลักที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องหลักการนับเบื้องต้น โดยแบบทดสอบนี้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและมีการหาค่าความเชื่อมั่นเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถวัดความรู้ความเข้าใจของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นเพื่อประเมินทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในหลายมิติ เช่น ความเหมาะสมของเอกสารประกอบการเรียน ความชัดเจนของเนื้อหา ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน และความสนใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์

ผลการวิจัยที่น่าประทับใจและมีนัยสำคัญ

ผลการวิจัยที่ได้รับนั้นเกินความคาดหมายและสร้างความมั่นใจให้กับการใช้เอกสารประกอบการเรียนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดคือระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการจัดการเรียนรู้ด้วยเอกสารประกอบการเรียนนั้นสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยค่า t-test ที่คำนวณได้เท่ากับ 15.24 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างคะแนนที่นักเรียนได้รับกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่เป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้อย่างแท้จริง

ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่านักเรียนมีระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 และสามารถแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับหลักการนับเบื้องต้นได้ถึงร้อยละ 80 เช่นกัน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้มากถึงร้อยละ 10 ผลลัพธ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้เอกสารประกอบการเรียนไม่เพียงแต่ช่วยให้นักเรียนผ่านเกณฑ์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาอย่างลึกซึ้งและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับนักเรียนที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์หลังจากการทดสอบครั้งแรก ผู้วิจัยได้จัดการเรียนซ่อมเสริมให้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนและคลิปวิดีโอเดียวกันแต่เน้นการให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลมากขึ้น ผลที่ได้คือนักเรียนทุกคนสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดในที่สุด การดำเนินการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้วิจัยในการไม่ทิ้งนักเรียนคนใดไว้ข้างหลังและความเชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม

นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้ว ผลการวิจัยด้านความพึงพอใจก็มีความน่าพอใจเช่นกัน นักเรียนมีระดับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเอกสารประกอบการเรียนอยู่ในระดับมากหรือระดับดีขึ้นไป การที่นักเรียนให้ความร่วมมือและมีความพึงพอใจนั้นเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ารูปแบบการสอนนี้ไม่ได้สร้างภาระหรือความกดดันมากเกินไปแต่กลับช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเองสามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้และเห็นคุณค่าของการเรียนวิชานี้มากขึ้น

การวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จ

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่ทำให้งานวิจัยนี้ประสบความสำเร็จจะพบว่ามีหลายองค์ประกอบที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ประการแรกคือการออกแบบเอกสารประกอบการเรียนที่มีโครงสร้างชัดเจนและเหมาะสมกับระดับความรู้ของนักเรียน เนื้อหาในเอกสารมีการจัดลำดับจากง่ายไปหายาก ตัวอย่างมีความหลากหลายและครอบคลุมทุกรูปแบบของโจทย์ที่นักเรียนอาจพบ ใบกิจกรรมมีปริมาณเหมาะสมไม่มากเกินไปจนนักเรียนรู้สึกท้อแท้ แต่ก็เพียงพอที่จะให้นักเรียนได้ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ

ประการที่สองคือการผสมผสานระหว่างเอกสารประกอบการเรียนกับสื่อเทคโนโลยีอย่างสไลด์และคลิปวิดีโอ การมีสื่อหลายรูปแบบทำให้นักเรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ต่างกันสามารถเลือกช่องทางที่เหมาะกับตนเองได้ นักเรียนที่ชอบอ่านและทำงานด้วยตนเองสามารถใช้เอกสารประกอบการเรียนเป็นหลัก ขณะที่นักเรียนที่เรียนรู้ได้ดีกว่าจากการฟังและดูสามารถใช้คลิปวิดีโอเป็นเครื่องมือช่วยเสริม การมีทางเลือกนี้ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นและนักเรียนรู้สึกว่ามีอิสระในการควบคุมกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง

ประการที่สามคือบทบาทของครูที่เปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษา การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ครูมีเวลามากขึ้นในการสังเกตและเข้าใจความต้องการของนักเรียนแต่ละคน สามารถให้ความช่วยเหลือเฉพาะจุดที่นักเรียนต้องการได้อย่างทันท่วงที และสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักเรียนมากขึ้น นักเรียนรู้สึกว่าครูเป็นผู้ให้การสนับสนุนมากกว่าผู้ตัดสิน จึงกล้าที่จะถามคำถามและแสดงความไม่เข้าใจโดยไม่กลัวถูกตำหนิ

ประการสุดท้ายคือการให้ความสำคัญกับการซ่อมเสริมสำหรับนักเรียนที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ การไม่ทิ้งนักเรียนไว้ข้างหลังแต่จัดการเรียนซ่อมเสริมจนทุกคนประสบความสำเร็จนั้นสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียนว่าความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบแต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ นักเรียนที่เคยไม่ผ่านเกณฑ์แต่สามารถพัฒนาตนเองจนผ่านได้ในที่สุดจะมีความภาคภูมิใจในตนเองและมีแรงจูงใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่อไปในอนาคต

การสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จ แนวทางการรายงานวิจัยในชั้นเรียน

การจัดทำรายงานวิจัยในชั้นเรียนเป็นกิจกรรมที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาทักษะการค้นคว้า การวิเคราะห์ และการนำเสนอข้อมูลได้เป็นอย่างดี นี่คือขั้นตอนและแนวทางในการจัดทำรายงานวิจัยในชั้นเรียน

1. การเลือกหัวข้อ

  • สนใจและเกี่ยวข้อง : เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ และเกี่ยวข้องกับวิชาเรียน
  • ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล : ตรวจสอบว่ามีข้อมูลเพียงพอสำหรับการวิจัยหรือไม่

2. การตั้งคำถามวิจัย

  • กำหนดคำถามที่ชัดเจน เพื่อให้การวิจัยมีทิศทางที่ชัดเจน

3. การค้นคว้าข้อมูล

  • แหล่งข้อมูล : ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น หนังสือ วารสาร บทความออนไลน์ หรือฐานข้อมูลวิจัย
  • การบันทึกข้อมูล : จดบันทึกข้อมูลที่สำคัญและอ้างอิงแหล่งที่มา

4. การวิเคราะห์ข้อมูล

  • ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา เพื่อหาความสัมพันธ์หรือแนวโน้มที่น่าสนใจ

5. การจัดทำรายงาน

  • โครงสร้าง : แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ เช่น บทนำ วิธีการวิจัย ผลการวิจัย สรุป และข้อเสนอแนะ
  • การเขียน : เขียนให้ชัดเจน กระชับ และใช้ภาษาที่เหมาะสม

6. การนำเสนอ

  • เตรียมการนำเสนอรายงานในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น สไลด์โชว์ หรือโปสเตอร์
  • ฝึกการนำเสนอเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

7. การตอบคำถาม

  • เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถามจากเพื่อนหรืออาจารย์ เพื่อชี้แจงและอภิปรายเกี่ยวกับงานวิจัย

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การทำงานกลุ่ม : หากทำงานเป็นกลุ่ม ให้แบ่งงานตามความถนัดของสมาชิกในกลุ่ม
  • การจัดการเวลา : กำหนดเวลาสำหรับแต่ละขั้นตอนเพื่อไม่ให้เกิดความเร่งรีบในวันส่งงาน

การทำรายงานวิจัยในชั้นเรียนไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความรู้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างทักษะที่มีประโยชน์ในอนาคตอีกด้วย

กลยุทธ์การเขียนรายงานวิจัยสำหรับนักเรียน เคล็ดลับและแนวทาง

การรายงานวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนและแนวทางที่สามารถช่วยให้การนำเสนอข้อมูลและผลการวิจัยมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

  1. กำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์
  • เลือกหัวข้อที่น่าสนใจและมีความสำคัญ
  • ระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้ชัดเจน
  1. การเตรียมข้อมูลเบื้องต้น
  • รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น หนังสือ, บทความวิจัย, และเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
  • ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมได้
  1. โครงสร้างรายงานวิจัย
  • บทนำ : เสนอปัญหาหรือคำถามวิจัยและความสำคัญของหัวข้อ
  • ทบทวนวรรณกรรม : สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนหน้า
  • วิธีการวิจัย : อธิบายวิธีการที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น การสำรวจ, การสัมภาษณ์, หรือการทดลอง
  • ผลการวิจัย : นำเสนอผลที่ได้จากการวิจัยในรูปแบบที่ชัดเจน เช่น ตาราง, กราฟ
  • การวิเคราะห์และอภิปรายผล : วิเคราะห์ผลที่ได้และเปรียบเทียบกับงานวิจัยก่อนหน้า
  • สรุปและข้อเสนอแนะ : สรุปผลการวิจัยและเสนอแนะสำหรับการศึกษาในอนาคต
  1. การนำเสนอ
  • ใช้สื่อช่วย เช่น สไลด์ PowerPoint หรือโปสเตอร์
  • อธิบายข้อมูลอย่างกระชับและเข้าใจง่าย
  • เตรียมตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ฟัง
  1. การตรวจสอบและแก้ไข
  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและการเขียน
  • ให้เพื่อนหรืออาจารย์ช่วยตรวจสอบก่อนนำเสนอ

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้การรายงานวิจัยในชั้นเรียนมีความน่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ

สรุปรายละเอียดเป็นรูปภาพได้ดังนี้ครับ

ขอแนะนำไฟล์ รายงานวิจัยในชั้นเรียน

เครดิต : คุณครูจักรกฤช เลื่อนกฐิน

เป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์จากลิงค์ด้านล่างนี้ นะครับ

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด