สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการจัดทำแบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

ดาวน์โหลดฟรี แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ ไฟล์ เวิร์ด แก้ไขได้  

แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ สำหรับนักเรียนยุคใหม่ในการพัฒนาตนเองและสร้างสังคมที่ดีขึ้น

ในยุคสมัยที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น การยึดมั่นในค่านิยมหลักที่ดีงามกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ จึงเป็นเครื่องมือที่มีค่าในการช่วยให้คนไทยทุกคนได้ทบทวนและพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับหลักคำสอนที่ดีงาม เพื่อสร้างสังคมที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ค่านิยมหลัก 12 ประการ เป็นหลักการสำคัญที่รัฐบาลไทยได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และสร้างความสามัคคีในสังคม หลักการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์สังคมที่เข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย

ความสำคัญของแบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ

การประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ มีความสำคัญต่อการพัฒนาบุคคลและสังคมในหลายมิติ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ การมีแบบประเมินที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เราสามารถวัดและประเมินระดับการยึดมั่นในค่านิยมเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ

ในมิติของการพัฒนาบุคคล แบบประเมินช่วยให้แต่ละคนได้ทำความเข้าใจตนเองมากขึ้น สามารถมองเห็นจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุงในการดำเนินชีวิต การรู้จักตนเองในแง่ของค่านิยมและหลักการดำเนินชีวิตจะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีทิศทางที่ชัดเจน

สำหรับมิติครอบครัว การประเมินค่านิยมร่วมกันจะช่วยสร้างความเข้าใจและความสามัคคีภายในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจะได้เรียนรู้ที่จะเคารพซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน และร่วมมือกันในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับครอบครัว

ในระดับชุมชนและสังคม การที่คนในชุมชนมีค่านิยมที่ดีและสอดคล้องกันจะทำให้เกิดความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สังคมจะมีความสงบสุข มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน

ประการที่ 1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ค่านิยมประการแรกที่เป็นรากฐานสำคัญของความเป็นไทย คือ ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นเสาหลักของชาติไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การรักชาติหมายถึงความภาคภูมิใจในความเป็นไทย การเห็นคุณค่าของประเทศชาติ และความตั้งใจที่จะอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของชาติ

ความรักชาติไม่ใช่เพียงแค่การแสดงออกในวันสำคัญทางชาติเท่านั้น แต่รวมถึงการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีในชีวิตประจำวัน การเคารพกฎหมาย การจ่ายภาษีอย่างซื่อสัตย์ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ

การยึดมั่นในศาสนา หมายถึงการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีศีลธรรม มีจริยธรรม และใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิต ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์จิตใจให้บริสุทธิ์ มีความเมตตา กรุณา และมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา

ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและความกตัญญูต่อผู้ที่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย การเรียนรู้พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ จะทำให้เข้าใจถึงความทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของพสกนิกร

ในการประเมินค่านิยมประการนี้ ควรพิจารณาจากพฤติกรรมและเจตคติที่แสดงออกในชีวิตประจำวัน เช่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน การเคารพสัญลักษณ์ของชาติ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย

ประการที่ 2 ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน

ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจในสังคม การเป็นคนซื่อสัตย์หมายถึงการพูดความจริง การทำในสิ่งที่ถูกต้อง และการไม่หลอกลวงหรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ในยุกสมัยที่มีการแข่งขันสูงและมีสิ่งล่อใจมากมาย การรักษาความซื่อสัตย์กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญ

การเสียสละเป็นการแสดงออกถึงความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน การเสียสละไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งใหญ่โตเสมอไป แต่อาจเป็นการเสียสละเวลา กำลังกาย หรือทรัพย์สินเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น การมีจิตใจเสียสละจะทำให้สังคมมีความอบอุ่นและเอื้ออาทรต่อกัน

ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นในการเผชิญกับความยากลำบากและความท้าทายในชีวิต การมีความอดทนไม่หมายถึงการยอมรับความผิดหรือความไม่ยุติธรรม แต่หมายถึงการมีความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และการรอคอยผลลัพธ์ที่ดีด้วยความหวังและความศรัดธา

ในการประเมินคุณสมบัติเหล่านี้ ควรมองที่พฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การทำงาน การเรียน การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการเผชิญกับปัญหา คนที่มีค่านิยมเหล่านี้จะแสดงความรับผิดชอบ ความไว้ใจได้ และความมั่นคงในการดำเนินชีวิต

การพัฒนาค่านิยมเหล่านี้ต้องเริ่มจากการฝึกฝนตนเองในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เช่น การรักษาสัญญา การทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน และการเผชิญกับความยากลำบากด้วยใจที่เข้มแข็ง

ประการที่ 3 กตัญญูกตเวที มีจิตสำนึกในความดี

ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สำคัญของสังคมไทย การมีความกตัญญูหมายถึงการรู้คุณและการตอบแทนคุณต่อผู้ที่มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ความกตเวทีคือการเห็นใจและเข้าใจความทุกข์ยากของผู้อื่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ

การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของลูก การดูแลพ่อแม่เมื่อแก่เฒ่า การเคารพฟังคำสอน และการนำชื่อเสียงที่ดีมาให้พ่อแม่ ล้วนเป็นการแสดงความกตัญญู การกตัญญูต่อครูอาจารย์ก็เช่นกัน การนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ การประพฤติตนให้เป็นที่น่าภาคภูมิใจของครู และการส่งต่อความรู้ให้กับรุ่นหลัง

จิตสำนึกในความดีเป็นการมีความรู้สึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว การมีจิตสำนึกนี้จะทำให้เลือกทำแต่สิ่งที่ดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดี และมีความละอายใจเมื่อทำผิด การพัฒนาจิตสำนึกในความดีต้องเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ การฟังคำสอนของผู้รู้ และการสะท้อนกลับถึงการกระทำของตนเอง

ในชีวิตประจำวัน การแสดงความกตัญญูกตเวทีอาจเป็นการบอกขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือ การเยี่ยมเยียนผู้ป่วย การช่วยเหลือผู้ที่ประสบความทุกข์ยาก หรือการทำบุญทำทานตามกำลังความสามารถ สิ่งเหล่านี้จะสร้างกรรมดีและทำให้สังคมมีความอบอุ่น

การประเมินค่านิยมประการนี้ควรดูจากพฤติกรรมการแสดงออกต่อผู้มีพระคุณ ความเอาใจใส่ต่อความเดือดร้อนของผู้อื่น และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ประการที่ 4 ใฝ่เรียนรู้ รอบรู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา

ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใฝ่เรียนรู้กลายเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและการเจริญก้าวหน้า ความใฝ่เรียนรู้ไม่ใช่เพียงแค่การเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงการเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากการอ่าน การฟัง การสังเกต และการลงมือปฏิบัติ

ความรอบรู้หมายถึงการมีความรู้ในหลากหลายสาขา ไม่จำกัดอยู่แต่ในวิชาการของตนเองเท่านั้น การมีความรู้กว้างจะช่วยให้เข้าใจโลกได้ดีขึ้น สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ได้ และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น การเป็นคนรอบรู้ไม่หมายถึงการรู้ทุกเรื่องอย่างลึกซึ้ง แต่หมายถึงการมีความรู้พื้นฐานในหลายเรื่องและรู้จักแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้เรียนรู้เพิ่มเติมได้

ปัญญาคือการนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ การมีปัญญาจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้ ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องเกิดจากการฝึกฝนและการสั่งสมประสบการณ์

ในโลกยุคดิจิทัล การเรียนรู้มีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น การเรียนรู้ออนไลน์ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ และการเรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น ล้วนเป็นช่องทางที่สำคัญ ความสำคัญคือการเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ

การพัฒนาค่านิยมการใฝ่เรียนรู้ควรเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การจัดเวลาสำหรับการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การหาคนที่มีความรู้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติจริง การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในชีวิต

ประการที่ 5 รักษาศีลธรรม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

ศีลธรรมเป็นหลักการดำเนินชีวิตที่ช่วยให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข การรักษาศีลธรรมหมายถึงการประพฤติปฏิบัติตนตามหลักการที่ดีงาม ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง

ศีลธรรมพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม การไม่พูดเท็จ และการไม่ดื่มสุราเมรัย สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของการดำเนินชีวิตที่ดีงาม การปฏิบัติตามศีลจะทำให้จิตใจสงบ มีความสุข และได้รับความเคารพจากผู้อื่น

ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการแบ่งปันสิ่งที่ตนมีให้กับผู้อื่น ความเอื้อเฟื้อไม่จำกัดอยู่แต่ทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงการแบ่งปันเวลา ความรู้ ประสบการณ์ และการให้กำลังใจแก่กัน

ในสังคมไทยโบราณ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นวิถีชีวิตที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนไทย การช่วยเหลือเพื่อนบ้าน การแบ่งปันอาหาร การร่วมแรงร่วมใจในการทำงาน ล้วนเป็นตัวอย่างของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สร้างความอบอุ่นให้กับชุมชน

ในยุคปัจจุบัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อาจมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป เช่น การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย การเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ การแชร์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ หรือการให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

การพัฒนาค่านิยมนี้ต้องเริ่มจากการมีจิตใจที่เมตตา การมองเห็นความต้องการของผู้อื่น และการฝึกฝนตนเองให้มีความกว้างขวางใจ การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้เกิดความสุขที่แท้จริงและสร้างกรรมดีให้กับตนเอง

ประการที่ 6 รักครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น

ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม การรักครอบครัวหมายถึงการมีความผูกพันรักใคร่ เอาใจใส่ และรับผิดชอบต่อสมาชิกในครอบครัว การสร้างความอบอุ่นในครอบครัวจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีของสมาชิกทุกคน

ความรักครอบครัวแสดงออกผ่านการใช้เวลาร่วมกัน การสื่อสารที่ดี การเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของกันและกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามยาก และการร่วมฉลองในยามดี ครอบครัวที่มีความรักและความเข้าใจกันจะเป็นที่พักพิงทางใจที่สำคัญสำหรับสมาชิกทุกคน

ชุมชนเป็นสังคมขนาดกลางที่เชื่อมต่อระหว่างครอบครัวกับสังคมใหญ่ การรักชุมชนหมายถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน การช่วยเหลือเพื่อนบ้าน การร่วมกันแก้ไขปัญหาของชุมชน และการร่วมกันพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่มากขึ้น

ท้องถิ่นคือบ้านเกิดเมืองนอนที่หล่อเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก การรักท้องถิ่นหมายถึงการภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น การอนุรักษ์ประเพณี การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างไฟล์ แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ


แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ
แบบประเมินค่านิยมหลัก 12 ประการ

เอกสารเป็นไฟล์ Word แก้ไขได้

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : ครูต้นไผ่ดอทคอม

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด