สื่อฟรีออนไลน์.com

ขอแนะนำไฟล์ หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน

พลิกโฉมการสอนสู่มืออาชีพด้วยวิจัยในชั้นเรียนฉบับสมบูรณ์ ทำง่าย ได้ผลจริง

ในโลกของการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คุณครูทุกท่านล้วนปรารถนาที่จะเห็นศิษย์ของตนเองเติบโตอย่างมีคุณภาพ เข้าใจในบทเรียน และมีความสุขกับการเรียนรู้ แต่บางครั้งเราอาจพบกับกำแพงที่มองไม่เห็น นักเรียนบางคนเบื่อหน่าย บางกลุ่มไม่เข้าใจเนื้อหา หรือบางครั้งเทคนิคการสอนที่เราเคยใช้ได้ผลกลับไม่เป็นดังเดิม คำถามที่เกิดขึ้นในใจของคุณครู เช่น “ทำไมเด็กๆ ไม่กระตือรือร้นที่จะตอบคำถาม” “ทำอย่างไรนักเรียนถึงจะเข้าใจเรื่องเศษส่วนได้ดีขึ้น” หรือ “มีวิธีไหนที่จะลดพฤติกรรมก้าวร้าวในห้องเรียนได้บ้าง” คำถามเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นอันทรงคุณค่าของกระบวนการที่เรียกว่า “วิจัยในชั้นเรียน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้คุณครูสามารถพัฒนาการสอนของตนเองได้อย่างเป็นระบบและเห็นผลเป็นรูปธรรม เปรียบเสมือนการที่คุณหมอวินิจฉัยอาการของคนไข้เพื่อจ่ายยาที่ตรงจุด คุณครูก็สามารถวินิจฉัยปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อออกแบบ “นวัตกรรม” หรือวิธีการสอนที่เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียนตนเองได้เช่นกัน การทำวิจัยในชั้นเรียนจึงไม่ใช่เพียงภาระงานที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นตามนโยบายหรือเพื่อการประเมินเลื่อนวิทยฐานะเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญของมันคือการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน ทำให้คุณครูกลายเป็น “ครูนักวิจัย” ที่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับนักเรียนได้อย่างแท้จริง บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักและเข้าใจทุกมิติของวิจัยในชั้นเรียนอย่างละเอียดที่สุด ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงขั้นตอนการลงมือทำที่ชัดเจน ซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองของคุณครูที่มีต่อการวิจัยให้กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและมีประโยชน์อย่างมหาศาล

ก่อนจะก้าวไปสู่ขั้นตอนต่างๆ เราต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของวิจัยในชั้นเรียนเสียก่อน สิ่งนี้คือกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงอย่างมีระบบระเบียบโดยตัวคุณครูผู้สอนเอง เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนของตน หรือเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หัวใจหลักของมันคือการปฏิบัติ (Action Research) ซึ่งมีวงจรสำคัญที่เรียกว่า PAOR ได้แก่ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติตามแผน (Act) การสังเกตผล (Observe) และการสะท้อนคิด (Reflect) วงจรนี้จะหมุนวนไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขหรือการสอนจะพัฒนาไปถึงจุดที่น่าพอใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือปัญหาที่นำมาศึกษานั้นต้องเป็นปัญหาที่เกิดจากหน้างานจริง เป็นความสงสัยใคร่รู้ของคุณครูเอง ไม่ใช่ปัญหาที่ถูกหยิบยื่นมาจากคนอื่น เมื่อคุณครูเป็นทั้งผู้ค้นพบปัญหา ผู้ออกแบบวิธีแก้ และผู้ประเมินผลด้วยตนเอง ความรู้สึกเป็นเจ้าของและความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ การเริ่มต้นค้นหาปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณครูหมั่นสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างสม่ำเสมอ หรือแม้กระทั่งพูดคุยสอบถามนักเรียนโดยตรง ก็จะทำให้มองเห็นช่องว่างหรืออุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก เช่น นักเรียนชั้น ป.3 ส่วนใหญ่ยังสับสนกับการใช้ ‘คะ’ กับ ‘ค่ะ’ หรือนักเรียนชั้น ม.2 ขาดทักษะการทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเริ่มต้นทำวิจัยในชั้นเรียนทั้งสิ้น

เมื่อคุณครูพบปัญหาที่ต้องการแก้ไขแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคิดค้นหรือแสวงหา “นวัตกรรม” ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหานั้นๆ นวัตกรรมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยเสมอไป แต่อาจเป็นเทคนิคการสอนใหม่ๆ สื่อการสอนที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ชุดแบบฝึกหัดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เกมเพื่อการเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมในห้องเรียนก็ได้ทั้งนั้น เช่น หากปัญหานักเรียนสับสนการใช้ ‘คะ’ ‘ค่ะ’ นวัตกรรมอาจจะเป็น “บทเพลงจำง่าย” หรือ “ชุดบัตรคำสถานการณ์” หากปัญหานักเรียนขาดทักษะการทำงานกลุ่ม นวัตกรรมอาจจะเป็น “เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิ๊กซอว์” พร้อมกับ “แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม” การจะเลือกหรือสร้างนวัตกรรมใดขึ้นมานั้น คุณครูจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมที่เลือกใช้นั้นมีหลักการทางทฤษฎีรองรับและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ การศึกษาค้นคว้านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการวิจัยในบทที่ 2 ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับงานวิจัยของคุณครูเป็นอย่างมาก

เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของรายงานการวิจัยมักจะแบ่งออกเป็น 5 บท ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมทุกองค์ประกอบสำคัญ การทำความเข้าใจโครงสร้างทั้ง 5 บทนี้ จะช่วยให้คุณครูสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและไม่หลงทาง บทที่ 1 คือบทนำ เป็นส่วนที่บอกเล่าถึงที่มาและความสำคัญของปัญหาที่เราสนใจศึกษาว่าปัญหานั้นมีความสำคัญอย่างไร ส่งผลกระทบต่อนักเรียนและการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง จากนั้นจึงกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้ชัดเจน เช่น “เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น ป.5 นอกจากนี้ยังต้องกำหนดขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจนว่าจะทำกับใคร (กลุ่มตัวอย่าง) ที่ไหน (โรงเรียน) เมื่อไหร่ (ภาคเรียนใด) และใช้เนื้อหาอะไรบ้าง รวมถึงการให้คำนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในงานวิจัยเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกัน และสุดท้ายคือการคาดการณ์ถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำวิจัยครั้งนี้

บทที่ 2 ว่าด้วยเรื่องเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้คุณครูจะต้องแสดงให้เห็นถึงการศึกษาค้นคว้าอย่างรอบด้าน โดยนำเสนอแนวคิด ทฤษฎี หลักการที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ศึกษา เช่น หากทำวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่าน ก็ควรสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับความหมายของการอ่าน องค์ประกอบของการอ่านจับใจความ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง และเทคนิควิธีการสอนอ่านต่างๆ จากนั้นจึงนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมที่เราจะใช้ เช่น หากใช้ชุดฝึกทักษะ ก็ต้องอธิบายหลักการและขั้นตอนการสร้างชุดฝึกทักษะที่ดี และที่สำคัญคือการทบทวนงานวิจัยอื่นๆ ที่เคยมีการศึกษาในประเด็นใกล้เคียงกัน เพื่อดูว่าคนอื่นเขาทำอย่างไร ได้ผลเป็นอย่างไร และงานวิจัยของเราจะมีส่วนช่วยต่อยอดหรือแตกต่างจากงานเดิมอย่างไรบ้าง บทที่ 2 นี้เปรียบเสมือนรากฐานทางวิชาการที่ทำให้งานวิจัยของเราแข็งแรงและน่าเชื่อถือ

บทที่ 3 คือวิธีดำเนินการวิจัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่บอกเล่ากระบวนการทั้งหมดอย่างละเอียด เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่คนอื่นสามารถอ่านและทำตามได้ เริ่มจากการกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างให้ชัดเจน เช่น ประชากรคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งหมดของโรงเรียน แต่กลุ่มตัวอย่างที่เราเลือกมาทำการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 30 คน เป็นต้น จากนั้นคือส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย” ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองหรือพัฒนานักเรียน ซึ่งก็คือ “นวัตกรรม” ของเรานั่นเอง เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการสอนแบบใหม่ หรือชุดกิจกรรมเกมการศึกษา ส่วนที่สองคือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวัดผล ซึ่งอาจจะเป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (มีทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน) แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินทักษะ หรือแบบสอบถามความพึงพอใจ และส่วนที่สามคือเครื่องมือที่ใช้ประเมินคุณภาพของเครื่องมืออีกทีหนึ่ง เช่น การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบและนวัตกรรม ในบทนี้ยังต้องอธิบายขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือเหล่านี้อย่างละเอียด รวมถึงระบุวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลว่าจะดำเนินการอย่างไร มีขั้นตอนก่อน-ระหว่าง-หลังอย่างไรบ้าง และสุดท้ายคือการระบุสถิติที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือการทดสอบค่าที (t-test) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนน

บทที่ 4 คือผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนำเสนอผลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลในบทที่ 3 มาวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติที่วางแผนไว้ การนำเสนอผลในบทนี้จะต้องมีความตรงไปตรงมา ไม่ใส่ความคิดเห็นหรือการตีความของผู้จัดทำลงไป ควรนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ พร้อมคำบรรยายใต้ภาพหรือตารางนั้นๆ อย่างชัดเจน เช่น ตารางเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หรือตารางแสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อนวัตกรรมการสอนใหม่ โดยจะแบ่งการนำเสนอผลออกเป็นส่วนๆ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้ในบทที่ 1 เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามและตรวจสอบได้ง่ายว่างานวิจัยนี้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ อย่างไร

และบทสุดท้ายคือ บทที่ 5 ซึ่งเป็นการสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในส่วนแรกจะเป็นการสรุปผลการวิจัยโดยย่อ ว่าผลการวิจัยทั้งหมดที่นำเสนอในบทที่ 4 นั้นค้นพบอะไรบ้าง ส่วนที่สำคัญที่สุดของบทนี้คือ “การอภิปรายผล” ซึ่งเป็นการนำผลการวิจัยที่ได้มาขยายความและตีความอย่างมีเหตุผล โดยเชื่อมโยงกลับไปยังทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ 2 เพื่ออธิบายว่า “ทำไม” ผลจึงออกมาเป็นเช่นนั้น เช่น “ผลการวิจัยพบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนวัตกรรมชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้นนั้นสอดคล้องกับหลักการเรียนรู้ของสมอง (Brain-Based Learning) ที่เน้นการใช้สีสันและรูปภาพกระตุ้นความสนใจ ซึ่งตรงกับงานวิจัยของ…” การอภิปรายผลที่ดีจะแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของผู้ทำวิจัย ส่วนสุดท้ายคือการให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งแบ่งเป็นข้อเสนอแนะเพื่อการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ และข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยในครั้งต่อไป เพื่อเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ให้กว้างขวางขึ้น

จะเห็นได้ว่าการทำวิจัยในชั้นเรียนนั้นมีกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจน แม้จะดูเหมือนมีรายละเอียดมาก แต่หากคุณครูค่อยๆ ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติไปทีละขั้นตอนก็จะพบว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถเลย สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นจากปัญหาเล็กๆ ที่เราสนใจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายที่ใหญ่เกินตัว การทำวิจัยในชั้นเรียนหนึ่งเรื่องที่ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในห้องเรียนและพัฒนานักเรียนกลุ่มนั้นๆ ได้ แต่ยังมอบองค์ความรู้และทักษะที่ล้ำค่าให้กับตัวคุณครูเอง ทำให้คุณครูเข้าใจผู้เรียนได้ดีขึ้น มีความมั่นใจในการออกแบบการสอนมากขึ้น และที่สำคัญคือการได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับศิษย์อันเป็นที่รักด้วยน้ำมือของเราเอง นี่คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็น “ครูนักวิจัย” ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอเพื่อสร้างอนาคตที่ดีที่สุดให้กับนักเรียนทุกคน การลงทุนลงแรงกับการทำวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและนำมาซึ่งความภาคภูมิใจในวิชาชีพครูอย่างแท้จริง

การวิจัยในชั้นเรียน เครื่องมือเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนและการสอนของครู

การวิจัยในชั้นเรียน: แนวคิดและความสำคัญ

การวิจัยในชั้นเรียนหมายถึงกระบวนการที่ครูนำมาใช้เพื่อสำรวจและปรับปรุงการเรียนการสอนภายในห้องเรียนของตนเอง การวิจัยประเภทนี้เน้นการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนผ่านการศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน โดยที่ครูผู้สอนเป็นผู้วิจัยเอง ทำให้การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนมีความตรงประเด็นและเหมาะสมยิ่งขึ้น

ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน

  1. ช่วยปรับปรุงการสอน – ครูสามารถพัฒนากระบวนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนมากขึ้น โดยการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรม การมีส่วนร่วม และการตอบสนองของนักเรียน
  2. ส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพ – การวิจัยช่วยให้ครูเข้าใจการทำงานของตนเองมากขึ้นและเพิ่มทักษะในการจัดการชั้นเรียน
  3. ส่งเสริมผลการเรียนรู้ – เมื่อนำผลการวิจัยมาใช้ในการวางแผนการสอน ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมและได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพในห้องเรียน

วิธีการวิจัยในชั้นเรียน: ขั้นตอนและเทคนิค

การวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนการทำงานที่ช่วยให้ครูสามารถวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนทั่วไปที่นิยมใช้มีดังนี้:

  1. การตั้งปัญหาการวิจัย – ระบุปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการศึกษาภายในชั้นเรียน เช่น นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่สามารถจดจ่อในห้องเรียนได้
  2. การเก็บรวบรวมข้อมูล – อาจใช้วิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ หรือการสอบถามข้อมูลจากนักเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับปัญหาที่ต้องการศึกษา
  3. การวิเคราะห์ข้อมูล – หลังจากเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ครูจะทำการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
  4. การนำเสนอผลลัพธ์และปรับใช้ – หลังจากได้ผลลัพธ์จากการวิจัยแล้ว ครูสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงการสอนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ครูสามารถค้นพบวิธีการใหม่ ๆ และสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในห้องเรียนได้อย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายและข้อจำกัดของการวิจัยในชั้นเรียน

แม้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาการเรียนการสอน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการที่ครูอาจต้องเผชิญ

  1. ข้อจำกัดทางเวลา – ครูต้องใช้เวลาในการสอนประจำวัน ทำให้มีเวลาไม่เพียงพอในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาภายในชั้นเรียน
  2. ขาดทักษะการวิจัย – ครูหลายคนไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะด้านการวิจัย ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการตั้งสมมุติฐานอาจทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  3. การประเมินผลที่มีความซับซ้อน – การประเมินผลการวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ยาก เนื่องจากต้องมีการวิเคราะห์หลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
  4. ข้อจำกัดทางการสนับสนุน – ครูอาจขาดทรัพยากรที่จำเป็นในการทำวิจัย เช่น งบประมาณหรือการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด

การจัดการความท้าทายเหล่านี้สามารถทำได้โดยการรับการฝึกอบรมทักษะการวิจัย การจัดสรรเวลาในการทำวิจัยอย่างเหมาะสม และการขอรับการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การวิจัยในชั้นเรียนประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุด

ตัวอย่างไฟล์หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน

เครดิต : เพจห้องพักครูปกประเมิน

ตัวอย่างไฟล์หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน

เป็นไฟล์ PPTX แก้ไขได้

หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน แบบที่ 1

หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน แบบที่ 2

หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน แบบที่ 3

หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน แบบที่ 4

ขอแนะนำไฟล์ หน้าปกวิจัยในชั้นเรียน

ดาวน์โหลดไฟล์หน้าปกจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ดาวน์โหลดไฟล์หน้าปก คลิกที่นี่

ขอบคุณแหล่งที่มา : เพจห้องพักครูปกประเมิน

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ห้ามพลาด