สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม ทุกท่านนะครับ วันนี้พบกับ สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ เอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวิทยาสำหรับครู ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการจัดทำเอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวิทยาสำหรับครู ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ เอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวิทยาสำหรับครู ตามรายละเอียดดังนี้ครับ
ดาวน์โหลด เอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวิทยาสำหรับครู โดย ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนรินทรวิโรฒ

จิตวิทยาสำหรับครู ที่ครูทุกคนต้องรู้เพื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
การเป็นครูในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่เพียงแต่การถ่ายทอดความรู้เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจจิตใจของนักเรียนที่มีความหลากหลายทางด้านพัฒนาการ ความสามารถ และพื้นฐานครอบครัว จิตวิทยาสำหรับครูจึงเป็นศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์
ความสำคัญของจิตวิทยาในการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษาเป็นศาขาหนึ่งของจิตวิทยาที่เน้นการประยุกต์หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน การศึกษาพฤติกรรมของผู้เรียน และการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้เต็มที่ ครูที่เข้าใจหลักจิตวิทยาจะสามารถวางแผนการสอน เลือกใช้วิธีการสอน และประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน
การเข้าใจจิตวิทยานักเรียนช่วยให้ครูสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนา จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังช่วยในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมและการปรับตัวของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ครูควรทราบ
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนการสอนที่เน้นการเสริมแรงและการลงโทษ บี เอฟ สกินเนอร์ เป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีนี้โดยเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ผ่านการเสริมแรงเชิงบวกและเชิงลบ ในการประยุกต์ใช้ในห้องเรียน ครูสามารถใช้ระบบคะแนน การให้รางวัล หรือการชื่นชมเพื่อเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงประสงค์
การเสริมแรงเชิงบวกหมายถึงการให้สิ่งที่นักเรียนต้องการหลังจากแสดงพฤติกรรมที่ดี เช่น การให้คะแนนพิเศษ การยกย่องต่อหน้าเพื่อน หรือการได้รับสิทธิพิเศษ ส่วนการเสริมแรงเชิงลบคือการเอาสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกไปหลังจากแสดงพฤติกรรมที่ดี เช่น การยกเว้นการบ้าน การลดภาระงานที่ต้องทำ
การลงโทษในทฤษฎีนี้ควรใช้อย่างระมัดระวังและเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยเน้นไปที่การสอนพฤติกรรมที่ถูกต้องมากกว่าการลงโทษพฤติกรรมที่ผิด ครูควรให้ความสำคัญกับการสร้างนิสัยการเรียนรู้ที่ดีผ่านการเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอ
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
อัลเบิร์ต แบนดูรา เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมที่เน้นความสำคัญของการเรียนรู้จากการสังเกตและการเลียนแบบ ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่านักเรียนเรียนรู้ไม่เพียงจากประสบการณ์ตรงเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้จากการดูผู้อื่นทำและผลที่ตามมา
ครูสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้โดยการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน การสาธิตวิธีการแก้ปัญหา การใช้เพื่อนที่เก่งเป็นตัวอย่าง หรือการจัดกิจกรรมกลุ่มที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากกันและกัน การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้
ทฤษฎีการสร้างสรรค์ความรู้ (Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างสรรค์ความรู้ที่พัฒนาโดยฌอง เปียเจต์ และเลฟ วีกอตสกี้ เน้นว่าผู้เรียนสร้างความรู้ขึ้นเองจากประสบการณ์และการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่การรับความรู้แบบเรื่อยเปื่อย ครูในทฤษฎีนี้จึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำมากกว่าการบอกคำตอบ
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในห้องเรียนสามารถทำได้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ การตั้งคำถามเพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ การจัดกิจกรรมการทดลอง การแก้ปัญหา และการอภิปรายกลุ่ม ครูควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ท้าทายความสามารถของนักเรียนแต่ไม่ยากเกินไป
แนวคิดเรื่องโซนการพัฒนาใกล้เคียง (Zone of Proximal Development) ของวีกอตสกี้ เป็นแนวทางสำคัญที่บอกว่านักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากครูหรือเพื่อนที่มีความสามารถสูงกว่าในงานที่ท้าทายแต่ไม่เกินขอบเขตความสามารถ
การเข้าใจพัฒนาการของนักเรียน
พัฒนาการทางด้านร่างกาย
การเข้าใจพัฒนาการทางร่างกายของนักเรียนช่วยให้ครูสามารถวางแผนการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถ ในช่วงเด็กเล็ก นักเรียนมีกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ยังไม่พัฒนาสมบูรณ์ ทำให้การเขียนหรืองานฝีมือละเอียดยังทำได้ไม่คล่องแคล่ว ครูจึงควรจัดกิจกรรมที่เหมาะสมและไม่บีบบังคับ
ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น นักเรียนจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์และความมั่นใจในตนเอง ครูควรมีความเข้าใจและให้การสนับสนุนที่เหมาะสม ไม่ควรเปรียบเทียบความแตกต่างทางร่างกายระหว่างนักเรียน
การจัดกิจกรรมทางกายที่หลากหลายและให้ทุกคนมีส่วนร่วมจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายและสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียน การออกแบบห้องเรียนที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวและปรับท่าทางการเรียนรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
ตามทฤษฎีของเปียเจต์ นักเรียนจะผ่านขั้นตอนการพัฒนาทางสติปัญญา 4 ขั้นตอน คือ ขั้นการรับรู้ทางประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว ขั้นคิดเบื้องต้น ขั้นคิดเป็นระบบที่เป็นรูปธรรม และขั้นคิดเป็นระบบที่เป็นนามธรรม ครูควรเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม
เด็กในขั้นคิดเป็นระบบที่เป็นรูปธรรม (อายุประมาณ 7-11 ปี) จะเรียนรู้ได้ดีจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมและสามารถสัมผัสได้ ครูจึงควรใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย จัดกิจกรรมการทดลอง และใช้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในการอธิบาย
สำหรับนักเรียนในขั้นคิดเป็นระบบที่เป็นนามธรรม (อายุ 11 ปีขึ้นไป) จะสามารถคิดเชิงนามธรรม วิเคราะห์ สังเคราะห์ และแก้ปัญหาได้ซับซ้อนขึ้น ครูสามารถใช้การอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์ และการแก้ปัญหาที่ท้าทายความคิด
พัฒนาการทางด้านอารมณ์และสังคม
การพัฒนาทางด้านอารมณ์และสังคมของนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ครูต้องให้ความสนใจ นักเรียนในแต่ละช่วงวัยจะมีลักษณะการแสดงออกทางอารมณ์และความต้องการทางสังคมที่แตกต่างกัน เด็กเล็กมักจะแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาและต้องการความสนใจจากผู้ใหญ่
วัยรุ่นจะเริ่มแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเองและให้ความสำคัญกับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ครูควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจ เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น และให้การสนับสนุนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน
การสอนทักษะชีวิตเช่น การจัดการอารมณ์ การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีมจะช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการที่สมดุลและเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในสังคม
แรงจูงใจในการเรียนรู้
ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์
ทฤษฎีลำดับความต้องการของอับราฮัม มาสโลว์ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่กระตุ้นให้มนุษย์มีพฤติกรรม ความต้องการพื้นฐานเช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัย ต้องได้รับการตอบสนองก่อนที่จะสามารถมุ่งเน้นไปที่ความต้องการในระดับที่สูงขึ้นเช่น ความต้องการทางสังคม ความนับถือตนเอง และการสร้างสรรค์ตนเอง
ครูควรสังเกตว่านักเรียนมีความต้องการพื้นฐานที่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือไม่ เช่น ความหิวโหย ความไม่ปลอดภัย หรือปัญหาครอบครัว เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการเรียนรู้โดยตรง การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรในห้องเรียนจึงเป็นพื้นฐานสำคัญ
เมื่อความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนองแล้ว ครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจในระดับที่สูงขึ้น เช่น การให้การยอมรับ การสร้างความมั่นใจ และการส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาและพัฒนาความสามารถของตนเอง
แรงจูงใจภายในและภายนอก
แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เป็นแรงผลักดันที่มาจากตัวนักเรียนเอง เช่น ความสนใจ ความสนุกสนาน ความต้องการเรียนรู้ หรือความพึงพอใจจากการทำกิจกรรม แรงจูงใจประเภทนี้มักจะทำให้การเรียนรู้มีความยั่งยืนและลึกซึ้งมากกว่า
แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) เป็นแรงผลักดันที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น คะแนน รางวัล การยกย่อง หรือการหลีกเลี่ยงการลงโทษ แม้ว่าแรงจูงใจนี้จะมีประสิทธิผลในระยะสั้น แต่อาจลดแรงจูงใจภายในหากใช้มากเกินไป
ครูควรสร้างสมดุลระหว่างแรงจูงใจทั้งสองประเภท โดยเริ่มจากการสร้างแรงจูงใจภายนอกเพื่อกระตุ้นความสนใจเบื้องต้น แล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปเน้นแรงจูงใจภายในโดยการทำให้เนื้อหามีความหมายกับนักเรียน เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง และให้โอกาสในการเลือกและควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจ
การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมเป็นเทคนิคสำคัญในการสร้างแรงจูงใจ เป้าหมายควรเป็น SMART คือ Specific (เฉพาะเจาะจง) Measurable (วัดได้) Achievable (ทำได้) Relevant (เกี่ยวข้อง) และ Time-bound (มีกรอบเวลา) การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีแรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมาย
การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ที่เป็นประโยชน์และทันเวลาช่วยให้นักเรียนทราบความก้าวหน้าและสิ่งที่ต้องปรับปรุง ข้อมูลป้อนกลับที่ดีควรมุ่งเน้นที่กระบวนการและความพยายามมากกว่าผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานและท้าทายเหมาะสม การใช้เกม การแข่งขัน กิจกรรมกลุ่ม และเทคโนโลยีการศึกษาจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ การเชื่อมโยงเนื้อหากับสิ่งที่นักเรียนสนใจและประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวันจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น
การจัดการพฤติกรรมในห้องเรียน
หลักการจัดการพฤติกรรมเชิงบวก
การจัดการพฤติกรรมเชิงบวกเน้นการป้องกันปัญหาพฤติกรรมมากกว่าการแก้ไขหลังเกิดปัญหา การสร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและมีส่วนร่วมจากนักเรียนจะทำให้เกิดความเข้าใจและยอมรับร่วมกัน กฎควรเป็นบวก บอกสิ่งที่ควรทำมากกว่าสิ่งที่ไม่ควรทำ
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนเป็นรากฐานสำคัญของการจัดการพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ เมื่อนักเรียนรู้สึกว่าครูเข้าใจและใส่ใจพวกเขา พวกเขาจะมีความร่วมมือมากขึ้น การแสดงความสนใจในตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล การจำชื่อ และการให้ความสนใจเรื่องราวของพวกเขาจะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้และลดการเสียสมาธิ การจัดโต๊ะเก้าอี้ การจัดแสงสว่าง การควบคุมเสียงรบกวน และการเตรียมสื่อการสอนที่เพียงพอจะช่วยลดปัญหาพฤติกรรมที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก
เทคนิคการแก้ไขพฤติกรรม
เมื่อเกิดปัญหาพฤติกรรม ครูควรวิเคราะห์สาเหตุเบื้องต้นก่อนดำเนินการแก้ไข พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอาจเกิดจากความต้องการความสนใจ การหลีกเลี่ยงงานที่ยากเกินไป ความเครียด หรือปัญหาส่วนตัว การเข้าใจสาเหตุจะช่วยให้เลือกวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม
เทคนิคการเพิกเฉย (Ignoring) สามารถใช้กับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจ โดยให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่เหมาะสมแทน แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังและไม่ใช้กับพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือผู้อื่น
การใช้ผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Natural Consequences) ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้จากการกระทำของตนเอง เช่น หากไม่ทำการบ้านก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาในวันถัดไป หากมาสายก็จะพลาดข้อมูลสำคัญ วิธีนี้สอนให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
การสร้างวินัยในตนเอง
การสอนให้นักเรียนมีวินัยในตนเองเป็นเป้าหมายสูงสุดของการจัดการพฤติกรรม การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสร้างกฎเกณฑ์และผลที่ตามมาจะทำให้พวกเขาเข้าใจเหตุผลและยอมรับได้ง่ายขึ้น การอธิบายเหตุผลของกฎต่างๆ อย่างชัดเจนจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจความสำคัญ
การสอนทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจช่วยให้นักเรียนสามารถจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง การฝึกให้คิดก่อนกระทำ
ตัวอย่างไฟล์ เอกสารประกอบการสอน วิชา จิตวิทยาสำหรับครู




